Monday, July 9, 2012

สูตร และเทคนิค ตำ ส้มตำ ให้อร่อย

สังเกตจากเวลาพ่อค้าแม่ค้าตำ ร้านที่ตำอร่อยเขาจะตำเทคนิคเหมือนกัน ที่สังเกตเด่นชัดเป็นจุดแรกคือ ครก เป็นครกไม้และสากไม้ที่ก้นลึกๆสูงๆ ทำให้คลุกได้ทั่ว ครกไม้จะทำให้เวลาตำแล้วเครื่องไม่แหลกเกินไป และใส่เครื่องตามลำดับ ดังนี้




1. โขลกกระเทียมและพริก บางร้านใส่พริกแห้งผสมพริกสด ซึ่งจะทำให้หอมและมีสีแดง ดูน่าทานยิ่งขึ้น พริกที่ใช้ต้องเป็นพริกขี้หนูใหญ่ เพราะไม่เผ็ดเกิน และหอมพอดี



2. ใส่ถั่วฝักยาว ตำพอให้แหลก ถ้าจะตำไทยใส่ถั่วลิสง บางคนชอบใส่ถั่วลิสงตอนนี้ ตำให้แหลกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอม แต่บางคนนิยมใส่กับมะละกอให้เป็นเม็ดสวยๆน่าทาน



3. ปรุงรส เครื่ิงปรุงรสที่ใช้คือ น้ำปลา น้ำปลาร้า มะนาว น้ำมะขามเปียก (เพื่อเพิ่มความกลมกล่อม ถ้าใช้มะนาวอย่างเดียวจะเปรี้ยวปรี๊ด) น้ำตาลปึกที่ละลายน้ำแล้วออกเป็นน้ำข้นๆ และผงชูรสสำหรับผู้ติดชูรส เคล็ดลับการปรุงคือ อย่าใส่เครื่องปรุงเยอะเกินไปจะทำให้รสจัดจ้านเกิน ซึ่งมักจะเป็นข้อผิดพลาดที่หลายๆท่านทำ เท่าที่สังเกตดู ส้มตำ 1 จาน เขาจะใส่น้ำปลาแค่ครึ่งทัพพีกว่า มะนาวไม่ถึงลูก และน้ำตาลประมาณ 2 ช้อนชา สามารถปรับได้ตามความชอบ ใส่น้ำมะขามกับปลาร้า คลุกเคล้าเครื่องปรุงรสให้เข้ากัน



4. ใส่มะเขือเทศ และ ปูเค็ม คลุกพอให้เข้ากัน อย่าตำแหลกมาก



5. ใส่มะละกอ ประมาณ 1 หยิบมือใหญ่ๆ การตำส้มตำให้อร่อยต้องใส่มะละกอหลังสุด อย่าตำนานและอย่าลงแรงเยอะ คลุกพอให้เข้ากัน เพราะถ้าตำนานหรือตำแรงเกิน มะละกอจะช้ำ เส้นไม่กรอบ และจะมียางเหนียวๆออกมาจากมะละกอ หมดอร่อยเลย เคล็ดลับอันนึงที่เคยเห็นร้านส้มตำร้านนึงทำ แล้วได้ผลอย่างแรง คือนำมะละกอดิบที่ไสแล้วไปแช่ตู้เย็น มะละกอจะกรอบบบบ ทานแล้วกรุบๆ อร่อยมาก



อยู่เมืองนอก ถ้าหามะละกอดิบไม่ได้ หรือแพง แนะนำให้ใช้หัว rutabaga แทน อร่อยเหมือนมะละกอดิบเลยเจ้าค่ะ แลัวราคาก็ถูกกว่ามั่กๆ

Saturday, October 22, 2011

สูตรหมักไก่ย่าง



นานมาแล้วที่ได้ขอสูตรไก่ย่างจากน้องๆ เลยมาเจอเข้ากับสูตรไก่ย่างของสาววิเชียร ขอบคุณเจ้าของสูตรด้วยนะคะ


สูตรไก่่ย่าง



เครื่องหมักไก่

1. ไก่ 2 กิโล

2. ตะไคร้ 3 ต้น

3 . กระเทียม 20 กลีบ

4 . รากผักชี 7 ราก

5 . พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ

6 . ใบเตย 2 ใบ

7. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ

8 . ซีอิ้วขาว 1-1/2 ช้อนโต๊ะ

9. หอมแดง 4 หัว

10. นมสด 1 กระป๋อง

11. เกลือ 1 ช้อนชา



วิธีทำ




ล้างไก่ให้สะอาดผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ นำรากผักชี ตะไคร้ ใบเตย พริกไทย กระเทียม หอมแดง มาปั่นพร้อมกับนมสดให้ละเอียด จากนั้นนำมาเทใส่ภาชนะสำหลับหมักไก่ ผสมเครื่องปรุงคลุกเคล้าให้เข้ากันนำไก่ลงไปหมักทิ้งไว้ 30 นาทีจากนั้นมาทำน้ำจิ้มกันค่ะ



น้ำจิ้มสูตรที่1




1. น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ

2. น้ำมะขามเปียกต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ

3. น้ำตาลปิ๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะ

5. ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

6. พริกป่่น 1 ช้อนโต๊ะ

7. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ

8. ผักชีฝรั่ง



วิธีทำ
นำน้ำมะนาว น้ำตาลปิ๊บ น้ำมะขามเปียก น้ำปลา มาผสมจนเข้ากันดีแล้วชิมรสให้ได้รส เปรี้ยว หวาน เค็ม จากนั้นใส่ข้าวคั่ว พริกป่น คนให้เข้ากันแล้วโรยด้วยต้นหอมซอยผักชีฝร้ง
สูตรที่2




1. กระเทียม 5 กลีบ

2. พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด

3. น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยต้วง

4. กระเทียมดอง 2 หัว

5. เกลือ 1-2 ช้อนชา



วิธีทำ

นำเครื่องที้งหมดมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปตั้งไฟให้น้ำตาลละลายเป็นใช้ได้

*หมายเหตุ*ตอนย่างไก่ควรใช้ไฟอ่อนๆๆแล้วอย่าลืมทาน้ำมันที่ไก่ตอนเรากลับไก่ด้วยนะค่ะเพราะจะทำไห้ไก่มีสีเหลืองน่าทานค่ะ








Monday, August 15, 2011

ข้าวกล้องงอก



เมื่อตอนเล็กๆ แม่ ริเริ่มให้ที่บ้าน กินข้าวกล้อง

แม่ อ้างกับพวกเราว่า ในหลวงยังเสวยข้าวกล้อง ประโยชน์ มากหลาย

แต่ก็ มีบางครั้ง ที่คิดถึง ข้าวหอมมะลินิ่มๆ นุ่มๆ



ทำข้าวผัดปู แสนอร่อย

มาวันนี้ อินเทรน ของ คนรักสุขภาพ ต้องนี่เลยค่ะ " ข้าวงอก"



"ข้าว" ก็มี "ข้าวสุขภาพ" หลากหลายรูปแบบ ออกมาให้เลือกรับประทานกัน

หนึ่งในข้าวสุขภาพที่กำลังอยู่ในความสนใจในกลุ่มรักสุขภาพก็คือ "ข้าวงอก"
"ในข้าวทุกประเภททุกสายพันธุ์จะมีสารที่เรียกว่า กาบา (Gaba - Gamma-Aminobutyric acid)

แต่ก็จะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป



มีงานวิจัยออกมาว่า สารกาบามีประโยชน์หลายอย่าง



ทั้งทำให้จิตใจสงบ

ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท

และยังมีแป้งน้อยกว่าข้าวธรรมดาถึง 4 เท่า

เหมาะต่อผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ทั้งยังทำให้คลายเครียด ลดความกังวล และทำให้อารมณ์ดี

หลายๆ คนเลยให้ชื่อเล่นของข้าวงอกว่า ข้าวอารมณ์ดี "



ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ อธิบายต่อไปว่า



สำหรับคนที่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอกมาก่อนเลยนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า



คำว่า "ข้าวงอก" คือ ข้าวที่เอาเปลือกออกแล้ว แต่ยังไม่ได้ขัดสี ลักษณะก็คือ "ข้าวกล้อง" ทั่วไปที่รู้จักกันนั่นเอง

การจะนำข้าวมาทำข้าวงอกนั้น ต้องใช้ข้าวกล้องเท่านั้น จะพันธุ์ใดก็ได้ งอกได้เหมือนกันหมด



"ส่วนที่จะงอกได้ คือ ส่วนที่เป็นจมูกข้าว นั่นเป็นสาเหตุให้การทำข้าวงอก ต้องทำจากข้าวกล้องเท่านั้น

เพราะข้าวกล้องยังไม่ได้สีเอาจมูกข้าวออกไป ถ้าเป็นข้าวสารขาวๆ นั่น เขาสีออกไปหมดแล้ว จมูกก็หลุด

เอามาแช่ยังไงก็ไม่งอก เพราะส่วนที่งอกได้มันไม่มีแล้ว ในส่วนของสารกาบา ในข้าวกล้องธรรมดาก็มี แต่ในข้าวงอกจะมีมากที่สุด คือ ประมาณ 15 เท่าของข้าวกล้องธรรมดา



ถ้ามองในเชิงปรัชญา การงอกของข้าวงอกมันหมายถึงชีวิต เมล็ดข้าวจะมีพลังชีวิตขณะที่มันกำลังงอก"







ในความเป็นจริงแล้ว

ข้าวงอกก็ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียวนักในประเทศไทย เพราะมีภูมิปัญญามานานแล้วในภาคเหนือและอีสาน



ที่มีการทำ "ข้าวฮาง"



ที่มีกรรมวิธีคล้ายคลึงกับการทำข้าวงอก แต่จุดประสงค์ไม่ใช่ทำไปรับประทานเพื่อสุขภาพ

แต่เป็นการทำให้ข้าวนุ่มขึ้น รับประทานง่ายขึ้น

โดยในแต่ละชุมชนก็จะมีวิธีการทำแตกต่างกันออกไปตามการสืบทอดของแต่ละแห่ง



สำหรับวิธีการทำข้าวงอกสูตรของ ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ ก็ไม่ยากเย็นอะไร

เคล็ดลับเพียงอย่างเดียวที่เขาแนะนำ ก็คือ ข้าวที่จะนำมาเพาะ ต้องเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ

ที่สีเอาเปลือกออกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จึงจะดี



แต่ข้าวกล้องที่บรรจุในถุงขายตามศูนย์การค้าทั่วไปก็พอจะเพาะได้ เพียงแต่ก่อนจะนำมาเพาะ

ควรทดลองเพาะแต่น้อยๆ ประมาณ 5-10 เมล็ดเสียก่อน เพื่อตรวจสอบว่าเพาะแล้วจะขึ้นหรือไม่







"ไม่ยากเลยครับ นำข้าวกล้องที่เราต้องการจะเพาะเป็นข้าวงอกไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้น

พอเช้า เราก็เทน้ำทิ้ง แล้วเอาผ้าเปียกมาห่อข้าวนั้นไว้ให้ชื้นและอุ่นๆ จากนั้นพอเย็น

เราก็มาเปิดดู ถ้ามันงอก ตรงจมูกข้าวมันจะมีตุ่มสีขาวๆ นูนขึ้นมา นั่นแสดงว่าเพาะขึ้น

แต่ถ้าเป็นหน้าหนาว อากาศเย็น มันจะขึ้นยากหน่อย พอแช่ไว้ 1 คืน อาจจะต้องห่อผ้าไว้ 2 วันจึงจะขึ้น

และจากเท่าที่ทราบว่ามีการวิจัย เห็นว่าจังหวะที่ดีที่สุดที่จะนำมาหุง ก็คือช่วงที่งอกได้ประมาณ 1 มิลลิเมตรครับ"

Wednesday, March 16, 2011

ไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริ

ไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริม+อบรมการทำงาน+ ศูนย์เครื่องถ่ายเอกสาร+เติมหมึก

เรียนรู้ง่าย+ มีลูกค้าประจำแน่นอน +ทำเองในครอบครัว + เริ่มต้นเพียง 39,900 บาท

* ธุรกิจบริการไปรษณีย์เอกชน

* ศูนย์อัดรูปภาพดิจิตอล

* บริการถ่ายรูปติดบัตร

* บริการเติมหมึก+ตัวแทนจำหน่ายหมึกเลเซอร์พริ้นเตอร์

* ศูนย์ประกันวินาศภัยครบวงจร

* โอนเงินด่วน ทุกธนาคาร

* จุดชำระค่าบริการ ( ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ )

* บริการเติมเงินออนไลน์บริการโอนเงินออนไลน์

* บริการรับฝากชำระค่าสาธาณูปโภค ค่าผ่อนสินค้า ค่างวดรถสินเชื่อ บัตรเครดิต ทุกธนาคารบริการไปรษณีย์

* ถ่ายรูปด่วนเติมหมึก ถ่ายเอกสารสี-ขาวดำกรอบรูป เข้าเล่ม เคลือบบัตรแฟกซ์ อินเตอร์เน็ต ปริ้นงาน

ธุรกิจใหม่มาแรง เหมาะสำหรับ

1. ท่านที่มีหน้าร้านอยู่แล้วและต้องการเพิ่มจุดขายและรายได้จากธุรกิจเดิม

• มินิมาร์ท+โชห่วย +ร้านหนังสือ +ร้านเกมส์ +หอพัก +ร้านถ่ายรูป +ร้านเสริมสวย

• ร้านไปรษณีย์ ศูนย์เช่า VCD

• ร้านจำหน่ายมือถือ อุปกรณ์มือถือ

• จุดบริการสมัครบัตรเครดิต

2. ท่านที่มีพื้นที่ว่างที่อยู่ในแหล่งชุมชนเรามีบริการที่มากกว่าจุดรับชำระเงิน

โปรแกรมจุดบริการชำระเงินออนไลน์ ค่าบริการต่าง จุดบริการเงินออนไลน์ มีสินค้าและบริการ และข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ดังนี้

1. จุดรับชำระเงินออนไลน์ ออฟไลน์

1.1 รับชำระเงินที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากกว่ายี่ห้ออื่น

- ค่าน้ำ, ค่าไฟทั้งนครหลวงออนไลน์+ส่วนภูมิภาค ออฟไลน์

- ค่าโทรศัพท์ระบบพื้นฐาน,ทุกระบบ

- ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกระบบ

- ค่างวดรถกว่า 20 บริษัทชั้นนำ

- ค่าผ่อนสินค้ากว่า 10 บริษัทชั้นนำ

- ค่าบัตรเครดิต – เงินกู้ทุกธนาคารและสถาบันการเงิน- ผ่อนสินค้า ทุกบริษัท

- ค่าเบี้ยประกันทุกบริษัทชั้นนำ

1.2 รับชำระค่าบริการทั้งที่เกินกำหนดและถูกตัด สามารถต่อสัญญาณโทรศัพท์ , ต่อน้ำ , ต่อไฟ ได้ภายในวันที่ลูกค้านำใบเสร็จมาชำระ

(ในเวลาทำการ ) แบบออฟไลน์

1.3 สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่มาชำระเงินจะมี ใบเสร็จรับเงิน ยืนยันเมื่อมีปัญหา

1.4 ไวกว่า เราชำระเงินให้กับคู่ค้าไวกว่า เพราะเป็นการส่งข้อมูลออนไลน์ตรงกับธนาคาร

1.5 เงินลงทุนขั้นต้นเพียง - บาท สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที

-ไม่เสียค่าสิทธิทางการค้า + เงินรายปี

-ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์โดยคุณมีเพียงอุปกรณ์ที่ต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ครบชุด + เครื่องพิมพ์ + อินเตอร์เน็ต + เครื่องยิงบาร์โค๊ดถ้าคุณมี

อุปกรน์แล้วก็ใช้ได้เลย ถ้ายังขาดสั่งซื้อได้เป็นรายชิ้น

1.6 ผลตอบแทนต่อบิลที่สูงกว่าเพราะได้ให้ผลตอบแทนร้านค้าที่มากกว่า ไม่ต้องแบ่ง เปอร์เซ็นต์การขาย (ยี่ห้ออื่นให้บิลละ 4-5 บาทเราได้

5-15 บาทต่อบิล ไม่ต้องทำยอดขายต่อเดือน) เป็นธุรกิจของคุณเองไม่ต้องผ่านบริษัทแม่ใดๆเลย ไม่ต้องมีเงินค้ำประกัน

2. บริการจุดเติมเงินมือถืออนไลน์ สามารถให้บริการเติมเงินมือถือทุกระบบ ทั้ง 1-2 call AIS, Happy DTAC, True Move,

ความแตกต่างจากการใช้บัตรเติมเงิน

- ไม่ต้องมีเก็บบัตรเติมเงินไว้จำนวนมาก ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง

- ง่ายต่อการจัดการ ไม่ต้องกลัวเงินหาย จัดระบบข้อมูล

- ให้คำปรึกษาตลอด 24ชั่วโมง สอนทำธุรกิจการนำจ่ายแบบออฟไลน์และออนไลน์

- ไม่ต้องตุนสินค้า ง่ายสะดวก รวดเร็ว มั่นคง ไม่ผิดกฎหมาย

3. บริการรับถ่ายเอกสาร และส่งแฟ็กซ์ แบบมินิ

ข้อดี "ลงทุนน้อย เรียนรู้ง่าย มีลูกค้าประจำแน่นอน ทำเองในครอบครัว"

หากท่านมีธุรกิจบางอย่างอยู่แล้ว และกำลังมองหาธุรกิจเสริม เพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้ น้องฟ้า เซอร์วิส ยินดีให้คำแนะนำ สอนงานทุก

ขั้นตอน อธิบายทุกข้อสงสัยอย่างละเอียด และพร้อมเป็นที่ปรึกษาตลอดการดำเนินธุรกิจ และเปิถานที่ดำเนินงานจริงสถานการณ์จริง ) * เพื่อให้ท่านนำไปใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายๆ.. เข้ามาสอบถามกันก่อนได้ สิ่งที่ได้รับจาก น้องฟ้า เซอร์วิส

1.สอนทุกอย่าง ที่บอกไว้

2.โปรแกรมทดลองใช้ไปรษณีย์ และจุดชำระค่าบริการต่างๆ

3.ให้ฟรี เครื่องเลเซอร์

เหล้าปั่น+กาแฟโบราณ+ไไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริม+อบรมการทำงาน+ ศูนย์เครื่องถ่ายเอกสาร+เติมหมึก

เรียนรู้ง่าย+ มีลูกค้าประจำแน่นอน +ทำเองในครอบครัว +เริ่มต้นเพียง 39,900 บาท +รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ+พนักงานขายอิสระ

น้ำอัดลมโบราณ+น้ำหวานซ่า+น้ำหัวจรวด+แฟรนไชส์ +รับสมัครตัวแทนจำหน่าย

Tuesday, March 15, 2011

ขายผ้ายืดให้แตกต่างจากคู่แข่ง

ขายผ้ายืดให้แตกต่างจากคู่แข่ง


ถ้าหากว่าลองคิดดูว่าร้านผ้าทั้งหมดนี้เป็นคู่แข่ง … ก็อาจจะคิดแบบนั้นได้ แต่อย่างที่ผมบอกเอาไว้แล้วว่า ผ้าจะมีเยอะแบบมากๆ ทำให้ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นคู่แข่งทางตรง แต่จะเป็นคู่แข่งทางอ้อมเสียมากกว่า และ ร้านผ้าซอยวัดสนก็ไม่ได้อยากจะเป็นคู่แข่งทางตรงกันหรอก เพราะมันเป็นการตัดตบและตีราคากันอย่างดูเดือด (สินค้าผ้ามันไม่ได้เป็นสินค้าที่มีกำไรอะไรสูงมากหรอกครับ เค้าเน้นว่าต้อ่งขายให้ได้มากเป็นดีครับ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปต่อราคาอะไรร้านค้าผ้ามากมายอะไรนักน่ะครับ) อย่างร้านไหนขายผ้าริ้วก็จะเน้นขายผ้าริ้วเป็นหลักและ ทำสีให้มากเพราะว่า คนเราชอบสีไม่เหมือนกัน หรือว่า designer แต่ละคนก็ชอบ theme สีไม่เหมือนกัน แล้ว mood ของร้านอย่างเดียวเลย (แน่นอนว่าถ้าหากว่าเป็น desinger ที่มีร้านเองก็นั่นหมายถึงว่าก็แล้วแต่ mood ที่ designer ชอบนั้นเอง ) ถ้าหากว่าผ้าเนื้อเดียวกันทอแบบเดียวกันเนื้อผ้าโครงสร้างเหมือนกันแล้ว ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ “สี” ที่แตกต่างกันออกไปยังไงล่ะครับ



อย่างร้านผ้าแฟนซีก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พยามสร้างสินค้าของตัวเองให้แตกต่างจากร้านขายผ้าอื่นๆ เช่นเดียวกันคือ การมุ่งเน้นสินค้าผ้าประเภทที่ “สร้างยาก” (ลูกค้าไม่รู้หรอกครับว่าแบบไหนเรียกว่าสร้างยากจนกว่าจะรู้ราคาของมัน ) แล้วก็เป็นผ้าที่มี design อยู่ในตัว และเน้นที่คุณภาพมากกว่าร้านผ้าอื่นๆที่อยู่ในซอยวัดสนครับ เหตุผล ไม่ยากครับเพราะว่าร้านผ้าแฟนซีมี back เบื้องหลังเป็นโรงงานที่มี connection ทั้ง line การผลิต และมี designer เป็นของตัวเองเพื่ออกแบบลายผ้า “ที่คำนึงถึงต้นทุน” เป็นหลักอีกต่างหาก ใช่แล้วครับ เพราะว่าร้านผ้าถ้าหากว่าขายราคาสูงมากกว่าเกินไป จะทำให้ตลาดแคบลง เพราะลูกค้าที่มาเอาของจากร้านผ้าแฟนซีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่ทำร้านเสื้อผ้าของตัวเองและอยากจะหาผ้าแปลกๆใหม่ๆเพื่อเอามาประยุกต์ใช้กับ idea บรรเจิดของตัวเองยังไงล่ะครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ร้านขายผ้าที่ซอยวัดสน จะไม่อยากตีราคากันถ้าหากว่าไปกันได้ โดยขายเน้นกันคนละประเภทสินค้า แล้วได้กำไรด้วยกันทั้งหมด เป็นเรื่องอย่างแน่นอนครับ แล้วมันก็ดีกับอุตสาหกรรมด้วย คนขายขายได้ราคา คนผลิตก็สามารถผลิตได้ด้วยราคาที่เหมาะสมไม่ต้องกดดันลดคุณภาพการผลิตแม้แต่น้อยยังไงล่ะครับ



ขายผ้าที่วัดสนนั้นหลักๆ แล้วก็ต้องทำผ้าตัวเองไม่ให้เหมือนกับคนอื่น ต้องมีทุนในการเก็บ stock และสั่งผลิตสินค้าเพือให้ลูกค้าได้เลือกแล้วเอาสินค้าผ้าไปได้ทันที และนอกจากนี้จะต้องรักษาคุณภาพของสินค้าในระดับของตนเองให้ได้ ถ้าหากว่ากลางๆ ก็กลางๆต่อไปอย่าได้ต่ำลงไป หรือว่าถ้าหากว่าดีก็ต้องคุณภาพดีต่อไปยังไงอย่างงั้นน่ะครับ เท่านี้ ร้านขายผ้าอยู่ได้ คนซื้อผ้า happy ได้ของดีราคาคุ้มค่า เท่านั้นโลกแห่งการขายผ้าก็จะหมุนไปในซอยวัดสนแห่งนี้แล้วล่ะครับ





เนื้อความที่เกี่ยวข้อง:

ร้านผ้าที่มีตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ?

ร้านผ้าที่มีตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ?


ร้านผ้าทั้งหมดในซอยวัดสนจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยพยายามที่จะไม่ทำอะไรซ้ำกัน ถ้าหากว่าทำซ้ำก็จะอยู่ไกลกันมาก เช่น หัวซอยต้นซอย (แค่หัวซอยกับต้นซอยนี่มันก็ไกลกันแล้วน่ะครับ เพราะว่าของหรือสินค้าที่ขายเป็นผ้ามันไม่ได้หิ้วถือกันได้น่ะครับ ถ้าหากว่าซื้อร้านไหนแล้วก็ไม่ได้ถือเดินดูของร้านอื่นแล้วน่ะครับ ) โดยร้านแต่ละร้านก็พยายามจะดึงจุดเด่นของร้านตัวเองออกมาโดย เน้นที่สินค้าที่แตกต่างจากร้านค้าผ้าอื่นๆ นั่นเอง



คุณอาจจะสงสัยว่าแต่ละร้านมันก็ขายผ้ายืดเหมือนกัน แต่ทำไมผมถึงบอกว่า ร้านมันขายของไม่เหมือนกันล่ะครับ ? ถ้าหากว่าคุณสงสัยประเด็นนี้แสดงว่าคุณยังไม่ได้เข้ามาในวงการสักเท่าไหร่ครับ ร้านผ้าที่วัดสน ลูกค้าส่วนใหญ่จะมีความคาดหวังว่า ถ้าหากว่าอยากซื้อสินค้าผ้า ที่ซอยวัดสนจะซื้อเป็นสินค้าที่มี stock คือ ถ้าหากว่าเจอแล้วก็จะเอา ไม่มีการสั่งทำ หรือสั่งผลิตเพิ่มแต่อย่างใด โดยการสั่งผลิตเพิ่มจะขึ้นอยู่กับแต่ละร้านจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ความต้องการของสินค้าผ้ายืด ของร้านตัวเองเป็นสำคัญ เค้าจะดูว่าสีไหนขายดี สีไหนเหลือปริมาณมากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าหากว่าผลิตออกมาแล้วจะมีคนเอาไปหรือไม่ แน่นอนน่ะครับ วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีการคิดแบบพื้นฐานที่สุดสำหรับการขายสินค้าประเภท made to stock คือ ต้องประเมินว่าสินค้าตัวไหนขายดี และ จะดองสินค้าเอาไว้ที่ร้านมากน้อยแค่ไหน (เพราะว่านั่นมันก็เงินทั้งนั้นน่ะครับ)



ผ้าแต่ละก้อนราคาไม่ได้ถูกครับ ถ้าหากว่าคุณมองเป็นเงินแล้ว ก้อนผ้าก้อนนึงก็หลายพันบาทอยู่ครับ ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของร้านคุณก็ไม่อยากจะเอามากองไว้ที่หน้าร้านเยอะๆสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเป็นไปได้สินค้าเป็นของคนอื่นได้เลยก็น่าจะเป็นเรื่องดีขึ้นไปใหญ่ แน่นอนว่า การวางของหน้าร้านเยอะๆแบบนี้เป็นเงินทั้งนั้นครับ แปลว่า ร้านต่างๆเหล่านี้จะต้องมี เงินทุนหนา พอสมควรที่จะมาเปิดร้านได้ ถ้าหากว่าไม่ได้มีเงินถุงถังแล้ว ก็จะเป็นผู้ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นน่ะครับ ถ้าหากว่าเป็นแค่คนรับมาขายนี่จะทำให้สินค้ามีปริมาณที่ไม่มาก แล้วก็ความหลากหลายของสินค้ามีไม่มากเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าคุณมาคุณจะพอแยกแยะออกว่าร้านใด เป็นร้านที่มีโรงงานเป็นของตัวเองอย่างเบื้องหลังครับ



โรงงานเบื้องหลังส่วนมากแล้วจะเป็นโรงทอผ้ายืดครับ เพราะ โรงงานเหล่านั้นถ้าหากว่าเป็นไม่ทำสินค้าที่ทำตลาดได้ด้วยตัวเองแล้ว การมี channel หรือ selling point หรือที่เรียกว่า ช่องทางการขายถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโรงงานครับ เพราะ วิธีคิดของโรงงานคือ “จะทำอย่างไรเพื่อให้เครื่องจักรเดินงานสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือแปลงสภาพจากวัตถุดิบเป็นสินค้า ให้ได้มากที่สุด” เพราะทุกคนมีค่าแรง ต่อเวลา หรือแม้ว่าหลายโรงงานจะใช้ระบบจูงใจเป็นแบบต่อผลผลิตแล้วก็ตาม ก็ยังมี costing ส่วนใหญ่ (เสมียนบัญชี ค่าไฟฟ้าค่าน้ำ ค่าเช่าและอื่นๆ) มันจะเป็นค่าใช้จ่ายต่อเวลาทั้งหมดครับ ทำให้ยังไง คนโรงงานก็ต้องคิดแบบนี้ครับ วิธีการก็คือ ถ้าหากว่า โรงงานนั้นๆมีช่องทางขายเป็นของตัวเอง ก็จะประเมินได้ชัดเจนว่า สีหรือขายดี หรือผ้าแบบไหนขายดีครับ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า ทำไม โรงทอผ้าอยากจะมีหน้าร้าน หรือ ทำไมหน้าร้านวัดสนที่ขายผ้ากันอยู่นี้ มีโรงทอเป็น backup กันหมด ถึงจะมีศักยภาพในการแข่งกันได้

ร้านขายผ้าผุดเป็นดอกเห็ดที่ซอยวัดสน

ร้านขายผ้าผุดเป็นดอกเห็ดที่ซอยวัดสน


ด้วยเหตุนี้ทำให้ร้านผ้ายืดเริ่มเปิดกันมากขึ้นที่ซอยวัดสนเพราะมีจ้าวที่ขายแล้วได้เงินกอบโกยมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนแถวนี้ก็เห็นว่า ถ้าเค้าขายได้เราก็ต้องขายได้เหมือนกัน ( business model นี้เรียกว่า me too หรือ พวก copycat น่ะครับ) ก็เอาบ้าง แต่เนื่องด้วย demand ทีมากกว่า supply อย่างเทียบกันไม่ติดทำให้ร้านผ้าไม่ว่าจะเปิดมากเพียงใดก็ขายได้และขายดีเสียด้วย ทำให้คนยิ่งหันมาเปิดร้านผ้าทีซอยวัดสนกันมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ



ตอนนี้ทำให้ร้านผ้าทั้งหมดเปิดตัวอย่างเป็นทางการและทำให้คนเริ่มรู้จักว่าถ้าหากว่าต้องการผ้ายืด (ไม่ได้เป็นผ้า weaving นะครับ ต้องเป็นผ้ายืดเท่านั้นด้วย) จะต้องมาหาซื้อที่ซอยวัดสนกันจ้าล่ะหวั่น เพราะ concept หนึ่งของการเรียกลูกค้า คือ การที่ลูกค้าบอกต่อกันได้ว่า ถ้าหากว่าจะซื้อสินค้าประเภทอะไรต้องไปย่านไหน ก็เหมือนกับว่า ถ้าหากว่าอยากจะได้สินค้าอิเล็คโทรนิคส์ เราก็ต้องไปย่านสะพานเหล็กเป็นต้นน่ะครับ แล้วก็นี่ก็เหมือนกัน คือ ถ้าหากว่าอยากจะได้ “ผ้ายืด” ก็ต้องมาร้านที่ “ขายผ้ายืด” ที่ซอยวัดสนยังไงอย่างงั้น



แต่เดิมซอยวัดสนนี้จะมี “ความหลากหลายของสินค้าและบริการอยู่” ไม่ว่าจะเป็นแค่บ้านพักธรรมดา หรือ ร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ร้านมอมเมาเยาวชน เช่นร้านเกมส์ computer ให้เด็กเล่นเกมส์ยิงหัวกันได้โดยไม่จำกัดเวลา หรือแม้กระทั่งร้านขายอุปกรณ์โกงลูกเต๋า ทั้งหมด โดยแปลงสภาพมา “ขายผ้า” กันหมดแล้ว นอกจากนี้ ร้านตัดผมก็เอาผ้ามาขาย ร้านชายสี่หมี่เกี้ยว ก็ต้องโดนย้ายทำเล เพราะว่า ตึกแถวไม่อยากจะให้บังกองผ้าที่เอามาขาย ร้านขายของชำก็แปลงตัวเองมา ขายผ้า เช่นเดียวกันร้านค้าอื่นๆ ราวกับว่า ซอยทั้งซอย ถ้าหากว่าอยากจะทำเงิน ! ก็ต้องเปิดเป็นร้านผ้าเท่านั้น