Wednesday, March 16, 2011

ไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริ

ไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริม+อบรมการทำงาน+ ศูนย์เครื่องถ่ายเอกสาร+เติมหมึก

เรียนรู้ง่าย+ มีลูกค้าประจำแน่นอน +ทำเองในครอบครัว + เริ่มต้นเพียง 39,900 บาท

* ธุรกิจบริการไปรษณีย์เอกชน

* ศูนย์อัดรูปภาพดิจิตอล

* บริการถ่ายรูปติดบัตร

* บริการเติมหมึก+ตัวแทนจำหน่ายหมึกเลเซอร์พริ้นเตอร์

* ศูนย์ประกันวินาศภัยครบวงจร

* โอนเงินด่วน ทุกธนาคาร

* จุดชำระค่าบริการ ( ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ )

* บริการเติมเงินออนไลน์บริการโอนเงินออนไลน์

* บริการรับฝากชำระค่าสาธาณูปโภค ค่าผ่อนสินค้า ค่างวดรถสินเชื่อ บัตรเครดิต ทุกธนาคารบริการไปรษณีย์

* ถ่ายรูปด่วนเติมหมึก ถ่ายเอกสารสี-ขาวดำกรอบรูป เข้าเล่ม เคลือบบัตรแฟกซ์ อินเตอร์เน็ต ปริ้นงาน

ธุรกิจใหม่มาแรง เหมาะสำหรับ

1. ท่านที่มีหน้าร้านอยู่แล้วและต้องการเพิ่มจุดขายและรายได้จากธุรกิจเดิม

• มินิมาร์ท+โชห่วย +ร้านหนังสือ +ร้านเกมส์ +หอพัก +ร้านถ่ายรูป +ร้านเสริมสวย

• ร้านไปรษณีย์ ศูนย์เช่า VCD

• ร้านจำหน่ายมือถือ อุปกรณ์มือถือ

• จุดบริการสมัครบัตรเครดิต

2. ท่านที่มีพื้นที่ว่างที่อยู่ในแหล่งชุมชนเรามีบริการที่มากกว่าจุดรับชำระเงิน

โปรแกรมจุดบริการชำระเงินออนไลน์ ค่าบริการต่าง จุดบริการเงินออนไลน์ มีสินค้าและบริการ และข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ดังนี้

1. จุดรับชำระเงินออนไลน์ ออฟไลน์

1.1 รับชำระเงินที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากกว่ายี่ห้ออื่น

- ค่าน้ำ, ค่าไฟทั้งนครหลวงออนไลน์+ส่วนภูมิภาค ออฟไลน์

- ค่าโทรศัพท์ระบบพื้นฐาน,ทุกระบบ

- ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกระบบ

- ค่างวดรถกว่า 20 บริษัทชั้นนำ

- ค่าผ่อนสินค้ากว่า 10 บริษัทชั้นนำ

- ค่าบัตรเครดิต – เงินกู้ทุกธนาคารและสถาบันการเงิน- ผ่อนสินค้า ทุกบริษัท

- ค่าเบี้ยประกันทุกบริษัทชั้นนำ

1.2 รับชำระค่าบริการทั้งที่เกินกำหนดและถูกตัด สามารถต่อสัญญาณโทรศัพท์ , ต่อน้ำ , ต่อไฟ ได้ภายในวันที่ลูกค้านำใบเสร็จมาชำระ

(ในเวลาทำการ ) แบบออฟไลน์

1.3 สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่มาชำระเงินจะมี ใบเสร็จรับเงิน ยืนยันเมื่อมีปัญหา

1.4 ไวกว่า เราชำระเงินให้กับคู่ค้าไวกว่า เพราะเป็นการส่งข้อมูลออนไลน์ตรงกับธนาคาร

1.5 เงินลงทุนขั้นต้นเพียง - บาท สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที

-ไม่เสียค่าสิทธิทางการค้า + เงินรายปี

-ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์โดยคุณมีเพียงอุปกรณ์ที่ต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ครบชุด + เครื่องพิมพ์ + อินเตอร์เน็ต + เครื่องยิงบาร์โค๊ดถ้าคุณมี

อุปกรน์แล้วก็ใช้ได้เลย ถ้ายังขาดสั่งซื้อได้เป็นรายชิ้น

1.6 ผลตอบแทนต่อบิลที่สูงกว่าเพราะได้ให้ผลตอบแทนร้านค้าที่มากกว่า ไม่ต้องแบ่ง เปอร์เซ็นต์การขาย (ยี่ห้ออื่นให้บิลละ 4-5 บาทเราได้

5-15 บาทต่อบิล ไม่ต้องทำยอดขายต่อเดือน) เป็นธุรกิจของคุณเองไม่ต้องผ่านบริษัทแม่ใดๆเลย ไม่ต้องมีเงินค้ำประกัน

2. บริการจุดเติมเงินมือถืออนไลน์ สามารถให้บริการเติมเงินมือถือทุกระบบ ทั้ง 1-2 call AIS, Happy DTAC, True Move,

ความแตกต่างจากการใช้บัตรเติมเงิน

- ไม่ต้องมีเก็บบัตรเติมเงินไว้จำนวนมาก ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง

- ง่ายต่อการจัดการ ไม่ต้องกลัวเงินหาย จัดระบบข้อมูล

- ให้คำปรึกษาตลอด 24ชั่วโมง สอนทำธุรกิจการนำจ่ายแบบออฟไลน์และออนไลน์

- ไม่ต้องตุนสินค้า ง่ายสะดวก รวดเร็ว มั่นคง ไม่ผิดกฎหมาย

3. บริการรับถ่ายเอกสาร และส่งแฟ็กซ์ แบบมินิ

ข้อดี "ลงทุนน้อย เรียนรู้ง่าย มีลูกค้าประจำแน่นอน ทำเองในครอบครัว"

หากท่านมีธุรกิจบางอย่างอยู่แล้ว และกำลังมองหาธุรกิจเสริม เพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้ น้องฟ้า เซอร์วิส ยินดีให้คำแนะนำ สอนงานทุก

ขั้นตอน อธิบายทุกข้อสงสัยอย่างละเอียด และพร้อมเป็นที่ปรึกษาตลอดการดำเนินธุรกิจ และเปิถานที่ดำเนินงานจริงสถานการณ์จริง ) * เพื่อให้ท่านนำไปใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายๆ.. เข้ามาสอบถามกันก่อนได้ สิ่งที่ได้รับจาก น้องฟ้า เซอร์วิส

1.สอนทุกอย่าง ที่บอกไว้

2.โปรแกรมทดลองใช้ไปรษณีย์ และจุดชำระค่าบริการต่างๆ

3.ให้ฟรี เครื่องเลเซอร์

เหล้าปั่น+กาแฟโบราณ+ไไปรษณีย์+จุดชำระเงินออนไลน์+ แฟรนไชส์+ธุรกิจ+ ธุรกิจรายย่อย+ ลงทุนน้อย+โอนเงิน +Real Time+ธุรกิจเสริม+อบรมการทำงาน+ ศูนย์เครื่องถ่ายเอกสาร+เติมหมึก

เรียนรู้ง่าย+ มีลูกค้าประจำแน่นอน +ทำเองในครอบครัว +เริ่มต้นเพียง 39,900 บาท +รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ+พนักงานขายอิสระ

น้ำอัดลมโบราณ+น้ำหวานซ่า+น้ำหัวจรวด+แฟรนไชส์ +รับสมัครตัวแทนจำหน่าย

Tuesday, March 15, 2011

ขายผ้ายืดให้แตกต่างจากคู่แข่ง

ขายผ้ายืดให้แตกต่างจากคู่แข่ง


ถ้าหากว่าลองคิดดูว่าร้านผ้าทั้งหมดนี้เป็นคู่แข่ง … ก็อาจจะคิดแบบนั้นได้ แต่อย่างที่ผมบอกเอาไว้แล้วว่า ผ้าจะมีเยอะแบบมากๆ ทำให้ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นคู่แข่งทางตรง แต่จะเป็นคู่แข่งทางอ้อมเสียมากกว่า และ ร้านผ้าซอยวัดสนก็ไม่ได้อยากจะเป็นคู่แข่งทางตรงกันหรอก เพราะมันเป็นการตัดตบและตีราคากันอย่างดูเดือด (สินค้าผ้ามันไม่ได้เป็นสินค้าที่มีกำไรอะไรสูงมากหรอกครับ เค้าเน้นว่าต้อ่งขายให้ได้มากเป็นดีครับ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปต่อราคาอะไรร้านค้าผ้ามากมายอะไรนักน่ะครับ) อย่างร้านไหนขายผ้าริ้วก็จะเน้นขายผ้าริ้วเป็นหลักและ ทำสีให้มากเพราะว่า คนเราชอบสีไม่เหมือนกัน หรือว่า designer แต่ละคนก็ชอบ theme สีไม่เหมือนกัน แล้ว mood ของร้านอย่างเดียวเลย (แน่นอนว่าถ้าหากว่าเป็น desinger ที่มีร้านเองก็นั่นหมายถึงว่าก็แล้วแต่ mood ที่ designer ชอบนั้นเอง ) ถ้าหากว่าผ้าเนื้อเดียวกันทอแบบเดียวกันเนื้อผ้าโครงสร้างเหมือนกันแล้ว ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ “สี” ที่แตกต่างกันออกไปยังไงล่ะครับ



อย่างร้านผ้าแฟนซีก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พยามสร้างสินค้าของตัวเองให้แตกต่างจากร้านขายผ้าอื่นๆ เช่นเดียวกันคือ การมุ่งเน้นสินค้าผ้าประเภทที่ “สร้างยาก” (ลูกค้าไม่รู้หรอกครับว่าแบบไหนเรียกว่าสร้างยากจนกว่าจะรู้ราคาของมัน ) แล้วก็เป็นผ้าที่มี design อยู่ในตัว และเน้นที่คุณภาพมากกว่าร้านผ้าอื่นๆที่อยู่ในซอยวัดสนครับ เหตุผล ไม่ยากครับเพราะว่าร้านผ้าแฟนซีมี back เบื้องหลังเป็นโรงงานที่มี connection ทั้ง line การผลิต และมี designer เป็นของตัวเองเพื่ออกแบบลายผ้า “ที่คำนึงถึงต้นทุน” เป็นหลักอีกต่างหาก ใช่แล้วครับ เพราะว่าร้านผ้าถ้าหากว่าขายราคาสูงมากกว่าเกินไป จะทำให้ตลาดแคบลง เพราะลูกค้าที่มาเอาของจากร้านผ้าแฟนซีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่ทำร้านเสื้อผ้าของตัวเองและอยากจะหาผ้าแปลกๆใหม่ๆเพื่อเอามาประยุกต์ใช้กับ idea บรรเจิดของตัวเองยังไงล่ะครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ร้านขายผ้าที่ซอยวัดสน จะไม่อยากตีราคากันถ้าหากว่าไปกันได้ โดยขายเน้นกันคนละประเภทสินค้า แล้วได้กำไรด้วยกันทั้งหมด เป็นเรื่องอย่างแน่นอนครับ แล้วมันก็ดีกับอุตสาหกรรมด้วย คนขายขายได้ราคา คนผลิตก็สามารถผลิตได้ด้วยราคาที่เหมาะสมไม่ต้องกดดันลดคุณภาพการผลิตแม้แต่น้อยยังไงล่ะครับ



ขายผ้าที่วัดสนนั้นหลักๆ แล้วก็ต้องทำผ้าตัวเองไม่ให้เหมือนกับคนอื่น ต้องมีทุนในการเก็บ stock และสั่งผลิตสินค้าเพือให้ลูกค้าได้เลือกแล้วเอาสินค้าผ้าไปได้ทันที และนอกจากนี้จะต้องรักษาคุณภาพของสินค้าในระดับของตนเองให้ได้ ถ้าหากว่ากลางๆ ก็กลางๆต่อไปอย่าได้ต่ำลงไป หรือว่าถ้าหากว่าดีก็ต้องคุณภาพดีต่อไปยังไงอย่างงั้นน่ะครับ เท่านี้ ร้านขายผ้าอยู่ได้ คนซื้อผ้า happy ได้ของดีราคาคุ้มค่า เท่านั้นโลกแห่งการขายผ้าก็จะหมุนไปในซอยวัดสนแห่งนี้แล้วล่ะครับ





เนื้อความที่เกี่ยวข้อง:

ร้านผ้าที่มีตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ?

ร้านผ้าที่มีตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ?


ร้านผ้าทั้งหมดในซอยวัดสนจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยพยายามที่จะไม่ทำอะไรซ้ำกัน ถ้าหากว่าทำซ้ำก็จะอยู่ไกลกันมาก เช่น หัวซอยต้นซอย (แค่หัวซอยกับต้นซอยนี่มันก็ไกลกันแล้วน่ะครับ เพราะว่าของหรือสินค้าที่ขายเป็นผ้ามันไม่ได้หิ้วถือกันได้น่ะครับ ถ้าหากว่าซื้อร้านไหนแล้วก็ไม่ได้ถือเดินดูของร้านอื่นแล้วน่ะครับ ) โดยร้านแต่ละร้านก็พยายามจะดึงจุดเด่นของร้านตัวเองออกมาโดย เน้นที่สินค้าที่แตกต่างจากร้านค้าผ้าอื่นๆ นั่นเอง



คุณอาจจะสงสัยว่าแต่ละร้านมันก็ขายผ้ายืดเหมือนกัน แต่ทำไมผมถึงบอกว่า ร้านมันขายของไม่เหมือนกันล่ะครับ ? ถ้าหากว่าคุณสงสัยประเด็นนี้แสดงว่าคุณยังไม่ได้เข้ามาในวงการสักเท่าไหร่ครับ ร้านผ้าที่วัดสน ลูกค้าส่วนใหญ่จะมีความคาดหวังว่า ถ้าหากว่าอยากซื้อสินค้าผ้า ที่ซอยวัดสนจะซื้อเป็นสินค้าที่มี stock คือ ถ้าหากว่าเจอแล้วก็จะเอา ไม่มีการสั่งทำ หรือสั่งผลิตเพิ่มแต่อย่างใด โดยการสั่งผลิตเพิ่มจะขึ้นอยู่กับแต่ละร้านจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ความต้องการของสินค้าผ้ายืด ของร้านตัวเองเป็นสำคัญ เค้าจะดูว่าสีไหนขายดี สีไหนเหลือปริมาณมากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าหากว่าผลิตออกมาแล้วจะมีคนเอาไปหรือไม่ แน่นอนน่ะครับ วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีการคิดแบบพื้นฐานที่สุดสำหรับการขายสินค้าประเภท made to stock คือ ต้องประเมินว่าสินค้าตัวไหนขายดี และ จะดองสินค้าเอาไว้ที่ร้านมากน้อยแค่ไหน (เพราะว่านั่นมันก็เงินทั้งนั้นน่ะครับ)



ผ้าแต่ละก้อนราคาไม่ได้ถูกครับ ถ้าหากว่าคุณมองเป็นเงินแล้ว ก้อนผ้าก้อนนึงก็หลายพันบาทอยู่ครับ ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของร้านคุณก็ไม่อยากจะเอามากองไว้ที่หน้าร้านเยอะๆสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเป็นไปได้สินค้าเป็นของคนอื่นได้เลยก็น่าจะเป็นเรื่องดีขึ้นไปใหญ่ แน่นอนว่า การวางของหน้าร้านเยอะๆแบบนี้เป็นเงินทั้งนั้นครับ แปลว่า ร้านต่างๆเหล่านี้จะต้องมี เงินทุนหนา พอสมควรที่จะมาเปิดร้านได้ ถ้าหากว่าไม่ได้มีเงินถุงถังแล้ว ก็จะเป็นผู้ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นน่ะครับ ถ้าหากว่าเป็นแค่คนรับมาขายนี่จะทำให้สินค้ามีปริมาณที่ไม่มาก แล้วก็ความหลากหลายของสินค้ามีไม่มากเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าคุณมาคุณจะพอแยกแยะออกว่าร้านใด เป็นร้านที่มีโรงงานเป็นของตัวเองอย่างเบื้องหลังครับ



โรงงานเบื้องหลังส่วนมากแล้วจะเป็นโรงทอผ้ายืดครับ เพราะ โรงงานเหล่านั้นถ้าหากว่าเป็นไม่ทำสินค้าที่ทำตลาดได้ด้วยตัวเองแล้ว การมี channel หรือ selling point หรือที่เรียกว่า ช่องทางการขายถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโรงงานครับ เพราะ วิธีคิดของโรงงานคือ “จะทำอย่างไรเพื่อให้เครื่องจักรเดินงานสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือแปลงสภาพจากวัตถุดิบเป็นสินค้า ให้ได้มากที่สุด” เพราะทุกคนมีค่าแรง ต่อเวลา หรือแม้ว่าหลายโรงงานจะใช้ระบบจูงใจเป็นแบบต่อผลผลิตแล้วก็ตาม ก็ยังมี costing ส่วนใหญ่ (เสมียนบัญชี ค่าไฟฟ้าค่าน้ำ ค่าเช่าและอื่นๆ) มันจะเป็นค่าใช้จ่ายต่อเวลาทั้งหมดครับ ทำให้ยังไง คนโรงงานก็ต้องคิดแบบนี้ครับ วิธีการก็คือ ถ้าหากว่า โรงงานนั้นๆมีช่องทางขายเป็นของตัวเอง ก็จะประเมินได้ชัดเจนว่า สีหรือขายดี หรือผ้าแบบไหนขายดีครับ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า ทำไม โรงทอผ้าอยากจะมีหน้าร้าน หรือ ทำไมหน้าร้านวัดสนที่ขายผ้ากันอยู่นี้ มีโรงทอเป็น backup กันหมด ถึงจะมีศักยภาพในการแข่งกันได้

ร้านขายผ้าผุดเป็นดอกเห็ดที่ซอยวัดสน

ร้านขายผ้าผุดเป็นดอกเห็ดที่ซอยวัดสน


ด้วยเหตุนี้ทำให้ร้านผ้ายืดเริ่มเปิดกันมากขึ้นที่ซอยวัดสนเพราะมีจ้าวที่ขายแล้วได้เงินกอบโกยมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนแถวนี้ก็เห็นว่า ถ้าเค้าขายได้เราก็ต้องขายได้เหมือนกัน ( business model นี้เรียกว่า me too หรือ พวก copycat น่ะครับ) ก็เอาบ้าง แต่เนื่องด้วย demand ทีมากกว่า supply อย่างเทียบกันไม่ติดทำให้ร้านผ้าไม่ว่าจะเปิดมากเพียงใดก็ขายได้และขายดีเสียด้วย ทำให้คนยิ่งหันมาเปิดร้านผ้าทีซอยวัดสนกันมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ



ตอนนี้ทำให้ร้านผ้าทั้งหมดเปิดตัวอย่างเป็นทางการและทำให้คนเริ่มรู้จักว่าถ้าหากว่าต้องการผ้ายืด (ไม่ได้เป็นผ้า weaving นะครับ ต้องเป็นผ้ายืดเท่านั้นด้วย) จะต้องมาหาซื้อที่ซอยวัดสนกันจ้าล่ะหวั่น เพราะ concept หนึ่งของการเรียกลูกค้า คือ การที่ลูกค้าบอกต่อกันได้ว่า ถ้าหากว่าจะซื้อสินค้าประเภทอะไรต้องไปย่านไหน ก็เหมือนกับว่า ถ้าหากว่าอยากจะได้สินค้าอิเล็คโทรนิคส์ เราก็ต้องไปย่านสะพานเหล็กเป็นต้นน่ะครับ แล้วก็นี่ก็เหมือนกัน คือ ถ้าหากว่าอยากจะได้ “ผ้ายืด” ก็ต้องมาร้านที่ “ขายผ้ายืด” ที่ซอยวัดสนยังไงอย่างงั้น



แต่เดิมซอยวัดสนนี้จะมี “ความหลากหลายของสินค้าและบริการอยู่” ไม่ว่าจะเป็นแค่บ้านพักธรรมดา หรือ ร้านขายอุปกรณ์ตกปลา ร้านมอมเมาเยาวชน เช่นร้านเกมส์ computer ให้เด็กเล่นเกมส์ยิงหัวกันได้โดยไม่จำกัดเวลา หรือแม้กระทั่งร้านขายอุปกรณ์โกงลูกเต๋า ทั้งหมด โดยแปลงสภาพมา “ขายผ้า” กันหมดแล้ว นอกจากนี้ ร้านตัดผมก็เอาผ้ามาขาย ร้านชายสี่หมี่เกี้ยว ก็ต้องโดนย้ายทำเล เพราะว่า ตึกแถวไม่อยากจะให้บังกองผ้าที่เอามาขาย ร้านขายของชำก็แปลงตัวเองมา ขายผ้า เช่นเดียวกันร้านค้าอื่นๆ ราวกับว่า ซอยทั้งซอย ถ้าหากว่าอยากจะทำเงิน ! ก็ต้องเปิดเป็นร้านผ้าเท่านั้น

ร้านขายผ้าซอยวัดสน

ร้านขายผ้าซอยวัดสนถือได้ว่าเป็นตลาดใหม่มาก เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่มีอายุไม่น่าจะเกิน 5 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อก่อนร้านผ้าในซอยวัดสนนี้จะไม่ได้มีมากอย่างที่เห็นนี้แต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ ร้านที่ทำการสั่งซื้อเศษผ้า หรือ ผ้าที่เหลือจากโรงงานที่เป็นโรงทอผ้า เข้ามาวางขายให้กับคนที่ต้องการเอาไปใช้งานบางกลุ่มเท่านั้น แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้ผ่านปรากฏการณ์ที่เมืองไทยไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่กระทบ (ในด้านดี) ให้อุตสาหกรรมเสื้อผ้า และ ผ้ายืดในประเทศไทย มีกำลังซื้ออย่างมหาศาลนั่นก็คือ ปรากฏการณ์การรณรงค์ให้คนไทยใส่เสื้อเหลือง เพื่อเป็นเฉลิมฉลองเทินพระเกียรติในหลวงของปวงชนขาวไทยนั่นเอง





เหตุการณ์นี้ทำให้ ผ้ายืด มีความต้องการจากตลาดเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะผ้ายืดที่ทอลาย single jersey หรือผ้ายืดที่ทอเป็นลายปีเก้ทั้งสองลายนี้ถือได้ว่าเป็นผ้าเหลืองที่โดนเอาไปทำงานตัดเย็บมากกว่าผ้าประเภทอื่นๆ มากนัก (จะสังเกตว่าจะไม่ค่อยมีคนใส่ผ้าทอสักเท่าไหร่ที่เป็นเสื้อเหลือง) ที่มีการสั่งผลิตเป็นปริมาณมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะ ทุกคนไม่ได้มีเสื้อสีเหลืองอยู่แล้ว แล้วก็เป็นสีที่ไม่เคยเอามาใส่ในงานทั่วไปมากนัก เพราะลองคิดดูครับว่าถ้าหากว่าเป็นผ้าเหลือง หรือเสื้อเหลืองแล้วเอาไปในงานเลี้ยงสังสรรค์ มันก็จะดูเด่นกว่าคนอื่นเอามากๆครับ ถ้าคุณลองมองเข้าไปที่ตู้เสื้อผ้าของคุณเองก่อนเหตุการณ์เสื้อเหลืองนี้ คุณจะพบว่าในตู้เสื้อผ้าของคุณจะไม่มีเสื้อเหลืองให้ใส่กันสักเท่าไหร่ครับ เรียกได้ว่าเป็นไม่มีเลยก็ว่าได้ถ้าหากว่าบางคนที่ไม่ได้เป็นพวกแฟชั่นจ๋าสักเท่าไหร่ แล้วก็ Trend fashion ต่างๆ จากการสังเกตผมก็ไม่เห็นสีเหลืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับ Trend fashion ต่างๆเหล่านี้ถ้าหากว่ามีก็มีไม่มากนัก แล้วมันก็จะออกมาเป็น Trend fashion ของ summer collection เสียมากกว่า หน้าอื่นๆ ไม่ว่าเป็น fashion spring หรือว่า fashion trend winter ก็ไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวครับ



เมื่อทุกคนไม่มีเสื้อเหลืองใน แต่ว่าทุกคนอยากจะร่วมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ทำให้ต้องหา ซื้อเสื้อใหม่มาแทบทั้งหมดครับ ยิ่งไปว่ากว่านั้น เมื่อมีคนใส่มาก ทำให้คนอื่นก็ต้องใส่ตาม แล้วยิ่งไปกว่านั้นเข้าไปอีกคือ ภาครัฐ และ องค์กรเอกชนทั้งหลายก็เอาอย่างกันคือ บังคับให้คนในองค์กรของตัวเองใส่เสื้อเหลือง และ ถึงกับมีช่วงเวลานึงที่ “ทุกคนใส่เสื้อเหลือง” ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวัน ทำให้ต้องซื้อเสื้อมากขึ้นไปอีก เพราะไม่มีใครหรอกครับที่มีเสื้อเหลืองมากเพียงพอถ้าหากว่าไม่ได้ซื้อใหม่ก็ไม่สามารถที่จะหาเสื้อสีเหลืองเท่าที่ตัวเองมีมาใส่กันให้พอกับความต้องการ (หรือจำเป็น) ที่จะต้องใส่ทั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ได้ครับ

จำหน่าย ผ้ายืดคุณภาพเยี่ยม

จำหน่าย ผ้ายืดคุณภาพเยี่ยม ตรงจากโรงงานผู้ผลิต ที่ร้านเน้นขายผ้ายืดหลายหลายประเภท ทั้งผ้ายืดสีพื้นต่างๆ ผ้ายืดลายริ้ว ผ้ายืดสลาฟ ผ้าฟอก ผ้ายืดแนวแฟนซี


ร้านเราเน้นไปที่คุณภาพที่มีการตรวจ สอบอย่างถี่ถ้วนด้วยประสบการณ์ในวงการสิ่งทอกว่าสิบปี และเรายังเน้นในเรื่องของรูปแบบ การออกแบบลายผ้า และสีที่คลอบคลุมตรงใจลูกค้าปลายทางที่สุด ดังนั้นลูกค้าของร้านผ้าแฟนซีเราจึงได้ของที่ดี และถูกใจลูกค้าคนซื้อเสื้อผ้าที่สุด

ร้านของเราตั้งอยู่ในซอยวัดสน ซึ่งปัจจุบันจัดได้ว่าเป็นแหล่งขายผ้ายืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยลูกค้าสามารถขับรถเข้ามาที่ร้านเราแล้วจอดรถได้อย่างสะดวกสบาย ทางเรารับรองได้ว่าแค่คุณเข้ามาที่ร้านเราร้านเดียวคุณก็ได้สินค้าแนวผ้ายืด แทบจะครบทุกแบบ ทุกลายที่คุณต้องการในราคาที่สมเหตุสมผล

ตัวอย่างสินค้า ของทางร้านผ้าแฟนซีมีได้แก่



ผ้าเรียบ เบอร์ 32 Single Jersey Cotton 100เปอร์เซ็น สีขาว อ่อน กลาง เข้ม ราคาเริ่มต้นที่ 160 บาทต่อกิโลกรัม

ผ้ายืด ลายริ้ว เบอร์ 20 มีหลายขนาด หลายสี Cotton 50เปอร์เซ็น , Polyester 50เปอร์เซ็น ราคาเริ่มต้นที่ 165 บาทต่อกิโลกรัม

ผ้าจูติ Cotton,TC,TK หลากหลายสี

ผ้า ฟอก แนวเซอร์ๆเนื้อนุ่มๆ

ผ้าแฟนซี แบบมีจุด มีขีด มีสลาฟ มีเรยอน เนื้อบาง เนื้อหนา ฯลฯ

ดูสินค้าตัวอย่างผ้ายืดได้ที่ http://www.pafancy.com

เปิด ทำการวันจันทร์ ถึงเสาร์ 8.00 - 17.00น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่

หน้าร้าน ติดต่อคุณบี เบอร์โทรศัพท์ 02-816-7344

พนักงานขาย คุณกิต เบอร์โทรศัพท์ 081-821-5716

ติดต่อเราได้ที่ : หน้าร้าน เลขที่ 23/1 ซอยสุขสวัสดิ์ 35 (วัดสน) เขตราษฏร์บูรณะ กทม 10140

ผ้ายืดคุณภาพ เยี่ยม ราคากันเอง ดีไซน์สวย

http://www.pafancy.com

หาแหล่งจำหน่ายผ้า วัดสน

ผ้าสำลี ผ้าขาว ผ้าสี ผ้าคอททอน ผ้าสีครีม ผ้าดิบ ผ้ายีนส์ ผ้าโพลี ผ้ากีฬา ผ้าทีซี ผ้าขนไก่ ผ้าพิมพ์ลาย ผ้าเศษ ผ้าพับ ผ้าขาวโพลี ผ้าขาวทีซี ผ้าสำลี




รับซื้อเศษผ้า เศษผ้าคอททอน ผ้ายืด ผ้ากีฬา ผ้า tc เศษผ้าดิบ ผ้าดิบ ผ้าสต็อก ผ้าพิมลาย ผ้าสี ผ้าตัด ผ้าคอททอน ผ้าลายลูกไม้ ผ้าพับ ผ้าม้วน ด้าย หลอดด้าย ซิบ ขอบยาง สายเสื้อใน ในร่อน ผ้าไหม เศษไหม ผ้าขนไก่ ผ้าเรย่อน ผ้าสเต ผ้าสแปนเน็ส ผ้าฝ้าย ด้าย กระดาษ พลาสติก ของสต็อก โต๊ะตัด โรงงาน กาเม้นท์ บริษัทไหมมีติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้โดยตรงหรือทางเมล์ได้ครับ กับ

คุณ ไกรษร 084-0551290,0870864348 sorn.28@hotmail.com

วันสิ้นโลก.. ทําไมหนังต้องเจาะจงปี 2012

เรื่องโดย Mr.Terran จากเว็ปพันทิป



--------------------------------------------------------------------------------

อย่างที่เพื่อนๆทราบกันว่า ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ของ Roland Emmerich จะเข้าฉายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2009 นี้ ทําไมหนังต้องพูดถึงปี 2012 คําทํานายมายันคืออะไร ? ทําไมต้องเจาะจงปี 2012 ? (เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึงปีเดียวกันนี้) ผมได้รวบรวมคําทํานายมาให้อ่านในกระทู้นี้แล้วครับ



ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ?

อาณาจักรมายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส

ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใด


อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหลายเมืองด้วยกันมีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริเวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี

 
ชาวมายามาจากไหนแน่




นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่


มีศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกประวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว


สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง


นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ(บางครั้งก็เลือกกันเองในเผ่า)



แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น..


อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น




•ติกัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน

•เปเตน (Peten)

•ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)

•ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls

นักโบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์มากมายของชาวมายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอียิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับว่ายากมากๆ



นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ



หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ





ชาวมายาหายไปไหน



ทุกวันนี้นักโบราณคดียังคงศึกษาอาณาจักรมายันเพื่อไขปริศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกัวเตมาลาซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งหาหลักฐานที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น





สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของเมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้นหญ้าแทนที่จะเป็นเรณูของต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณกว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา



ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะและการระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหมดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสาบ





ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่าไม้จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลหนึ่งทีมงานใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช
นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อการมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้








ขณะที่อาณาจักรมายันมีประชากรจำนวนมากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณคริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว







หลักฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสามทศวรรษก่อนอาณาจักรมายันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง





เชฟเวอร์สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำลายป่าไม้ของมนุษย์ และเขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะไรผิดพลาดจะช่วยให้ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้นซึ่งเคยทำลายชาวมายามาแล้ว


ภาพ : สัญลักษณ์ของชาวมายา


ปฏิทินมายา เกี่ยวอะไรกับปี 2012


(บทความโดยคุณ Sonic)



ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...







แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน







ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20







ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี



จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116



ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830



ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร

และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ



1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น

2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด

3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ

4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์

5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง

6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า

7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา

8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์

9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน

10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา

11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด

12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม

13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่



... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เรา

ส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้



แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน

คิน = 1 วัน

อุยนัล = 20 คิน

ทัน = 360 คิน

คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)

แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)



จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ



แล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลกพิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ



มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?



หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม



คำว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง



ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู



ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง





ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขา

ปากาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว



...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล



ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่

แม้แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้องก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส



ภาพปฏิทินมายา นับถอยหลัง ถึงวันสุดท้าย 21 ธันวาคม 2012 ...อะไรรอเราอยู่



ต่อไปนี้คือคําทํานายของปี2012 ครับ




เดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ



นอกจากแสงลึกลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานานแล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย



ชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต



เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น



โอลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว

โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา




ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย



เขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น

จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น



คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย



อีกไม่กี่สิบปีเราคงจะได้เห็นปรากฎการณ์นั้น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบาง



ทั้งหมดนี้ ที่ฟังมานี้ ต่างต้องล้วนใช้วิจารณญาณ แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ .......



บทความจากสํานักข่าวIndiadaily



ในปี คศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012 การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นั้นได้

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ตามมาอีก เช่น - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง - โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ - สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ -กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย - แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมาผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง


เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่นสึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษาอารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลายล้านปีทีผ่านมา ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้
บทความจาก นสพ.ไทยรัฐ




ทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012



ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี



การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง



สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลกข้างต้นตามจินตนาการข อง อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิ ศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน



ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน



น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)



สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์



นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน



และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโ ลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว






แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012



จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น



ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้



การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี



ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อน

แอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์



ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจั

งดังต่อไปนี้



- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)



- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ



- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก



- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม



- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้



- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น



-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม



ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..



จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น



ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้



การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี



ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อน

แอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์



ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจั

งดังต่อไปนี้



- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)



- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ



- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก



- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม



- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้



- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น



-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม



ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..


ภาพแผนที่โลกในอนาคต ที่นาย Gordon-Michael Scallion นักพยากรณ์ชื่อดังชาวสหรัฐฯเขียนขึ้น โดยระบุว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อนตัว




เอาเฉพาะส่วนสําคัญมาให้ดูครับ



สหรัฐอเมริกา

(ภาพจากwww.world-mysteries.com)





เอเชีย


นำมาจาก : http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/11/A7230718/A7230718.html

เรื่องวุ่นๆ ของคนทำเสื้อยืด

posted on 24 May 2007 14:01 by aorgust in t-shirt

เพิ่งจัดการกับเรื่องทำเสื้อยืดเรียบร้อยไปเมื่อวันก่อน เล่นเอาเหนือ่ยอยู่

รอลุ้น ว่าสกรีนแล้วจะสวยมั้ย เพราะเสื้อที่เอาไปสกรีนน่ะ ครึ่งนึง

ไปซื้อผ้ามาจ้างเค้าตัด แล้วอีกครึ่งนึงซื้อที่เค้าตัดสำเร็จรูปแล้ว มันก็ต่างกัน





ความที่เป็นมือใหม่หัดทำ ก็ต้องลองผิดลองถูกดู

จะแจกแจงให้ฟังนะ ว่าแบบไหนเป็นยังไง



เสื้อสั่งตัด

ควรมีเงินลงทุนหน่อยนะ เพราะผ้าที่เราจะซื้อเค้าจะขายยกพับ พับนึงประมาณ 3000 กว่าบาท

แล้วแต่ลักษณะผ้าด้วย ผ้าที่เค้านิยมนำมาตัด คือ ผ้ายืดเบอร์ 32 พับนึงตัดเสื้อผู้หญิงได้ประมาณ 100 ตัว

แต่ถ้าตัดปนไซส์กับเสื้อผู้ชายก็อาจจะสัก 70 ตัว ผ้าเนี่ยต้องไปซื้อแถวซอยวัดสน ประชานิเวศน์

ที่นี่มีผ้าหลายร้านเดินกันตาลายเลยล่ะ แล้วก็ต้องซื้อผ้าไปทำคอด้วยนะ (เค้าเรียกว่าผ้าบุ๊งคอ ก็ต้องเลือกสีเดียวกับเสื้อ)

ฉะนั้น ถ้าจะทำผ้าหลายสีก็ลงทุนเยอะหน่อย หลังจากซื้อผ้า แล้วก็ต้องหาร้านตัด ร้านที่รับตัด ถ้าเราซื้อมายกพับ ค่าตัด

จะถุกกว่า ราคาเราก็ไม่รู้มาตรฐานหรอก อยู่ที่ 10 -30 บาทต่อตัว โดยประมาณนะ เราถูกใจเสื้อทรงไหน ก็เอาไปเป็น

ตัวอย่างให้เค้าทำแพทเทิร์นได้เลย



เสื้อสำเร็จรูป

อันนี้ ก็ไปซื้อได้แถวประตูน้ำ, กรุงทองพลาซ่า และ ตึกใบหยก เค้าก็มีแยกไซส์ มาให้ ราคาอยู่ที่ 45-65 บาทต่อตัว

เสื้อสำเร็จรุปซื้อง่ายดีนะ แต่แบบขนาดเสื้อ มักไม่โดนใจเรา มันตัวกว้าง ไปหน่อย แต่ก็ต้องซื้อไปก่อน



เพราะฉะนั้น เราก็ควรดูก่อนว่าเรามีเงินทุนเหมาะกับทำเสื้อแบบไหน



หลังจากได้เสื้อแล้วก็มาหาร้านสกรีนเสื้อ กันดีกว่า แหล่งย่านที่เค้ามาทำกันเยอะๆก็ แถวข้างสนามจุ๊บน่ะ แถวนี้ร้านเยอะแยะ

ต้องลองถามราคาดู ก็ต้องเสียค่าทำบลอกสกรีน ถ้าสกรีนสองสี ก็คือต้องทำสองบลอก

แล้วก็ต้องเสียค่าสกรีนอีก สีสกรีนจริงๆ ทำได้หลายสีเลยนะ เค้าจะมีสีให้เลือกหลายโทนเลย เค้ามีเป็น Pantone เล่มๆให้เลย

เสน่ห์เสื้อยืดก็อยู่ที่สีด้วยนะ ทั้งตัวเสื้อ และสีสกรีน จับคู่สีดีๆ ลายไม่ต้องเยอะมากก็สวยเลยล่ะ



คิดคำนวนดูแล้ว ต้นทุนการผลิตเพื่อขายก็เยอะเหมือนกัน

เราก็ลองผิดลองถูกอยู่ จะไปฝากร้านเพื่อนขายดู

งั้นมาดูลายขำๆกันดีกว่า

http://aorgust.exteen.com/20070524/entry

Monday, March 14, 2011

ชื่นชม วิธีเอาตัวรอด และระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่น หลังเกิดสึนามิ

ชื่นชม วิธีเอาตัวรอด และระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่น หลังเกิดสึนามิ




Mthai news: หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวจนเกิดโศกนาฏกรรม สึนามิครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีการเผยแพร่ภาพความเสียหายไปทั่วโลก แต่ภาพภาพอีกมุมหนึ่ง ยังแสดงให้เห็นถึงความมีระเบียบวินัยและความพร้อมที่จะรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น



อย่างเช่นเด็กน้อยชาวญี่ปุ่นทั้ง 6 คน ใช้โต๊ะเรียนของตัวเองเป็นที่กำบังตัว หากเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งคุณครูต่างแนะนำและให้ความรู้ถึงวิธีการป้องกันเพื่อเอาตัวรอดหากเกิดสถานการณ์คับขัน



นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง เล่าว่า ลูกชาย 2 ขวบของเธอ ที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกรุงโยโกฮามา โดยผู้ปกครองสามารถมองเห็นลูกๆได้จากกล้องที่ดูผ่านเว็บไซต์ จนวันที่ 11มี.ค. แม่ของสามี เห็นครูคนหนึ่งรายล้อมด้วยเด็กๆ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเด็กๆหล่านั้นก็หลบอยู่ใต้โต๊ะเพื่อป้องกันตัวซึ่งในตอนนั้น แม่สามีไม่รู้เลยว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น



หลังจากนั้น คุณครูใช้ผ้าห่มพันรอบๆตัวเด็กเอาไว้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด ก่อนที่เด็กทั้งหมดจะถึงมือผู้ปกครองอย่างปลอดภัย



นอกจากนี้ ความเป็นระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่นก็เป็นที่น่าชื่นชม หลังจากที่เกิดเหตุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทุกคนต่างตื่นตกใจ แต่ก็ยังคงยืนรอคิวเพื่อโทรศัพท์ติดต่อกับทางญาติๆ โดยไม่มีใครเอะอะโวยวาย และเกิดความโกลาหลแต่อย่างใด


ทุกคนสอบถามเรื่องราวของครอบครัวคนอื่นๆว่า มีใครได้รับอันตรายบ้างหรือไม่

เด็กนักเรียนและผู้หญิงได้รับการช่วยเหลือให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย


และถึงแม้ว่ารถไฟใต้ดินจะไม่สามารถทำงานได้ ทุกคนต่างนั่งรอความหวังอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการนั่งขวางทางเดินแต่อย่างใด


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบางคนจะปลอดภัย แต่เพื่อนร่วมชาติของเขายังคงเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต ทั้งบ้านเรือนพังเสียหาย คนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ร่างของคนในครอบครัวจากไปพร้อมกับสายน้ำ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมว่า คนที่เขารักจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ได้เพียงแต่หวังว่า ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง

ระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น

สิ่งที่จะขาดไม่ได้ที่จำเป็นต้องพูดถึง ในเรื่องระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น คือ การตรงต่อเวลา คนญี่ปุ่นนั้นมีวินัยในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเขามาสายหรือไม่ตรงเวลา หรือไม่ส่งงานตามกำหนด และที่สำคัญสิ่งที่ฉันต้องทึ่งมาก เพราะฉันไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง นั่นคือ นาฬิกาเกือบทุกเรือนในญี่ปุ่นจะถูกตั้งเวลาตรงกัน เรียกง่ายๆ ว่าตรงเป๊ะ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นจึงนัดแล้วเป็นนัด ไม่อ้าง นาฬิกาเดินช้ากว่าหรือเดินเร็วกว่าเหมือนเราๆ


ผมไม่เคยไปญี่ปุ่นนะ


แต่ผมก็ได้รับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเยอะมากจากสื่อต่าง ๆ

ทั้ง การ์ตูนก็ดี ดนตรีก็ดี (เพลงร็อคญี่ปุ่น) หรือละคร แม้แต่รายการทีวี

ผมคิดว่าที่คนญี่ปุ่นเป็นกันอย่างทุกวันนี้เพราะถูกปลูกฝังมาครับ เรื่องมารยาท เค้าดูเหมือน มีมารยาทกันมาก เพราะถูกปลูกฝังจากผู้นำประเทศที่ต้องการให้คนในชาติมีอารยธรรม มีความเป็นชาตินิยมสูง ซึ่งก็ดีมาก ได้ผลดีทีเดียว

แต่เสียอยู่เรื่องเดียวคือ เรื่องที่ปลูกฝังมาว่า คนญี่ปุ่นคือชนชาติที่เหนือกว่าทุกชาติในเอเชีย คนญี่ปุ่นคือ ชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่ชาวเอเชีย

ความอ่อนน้อมของคนญี่ปุ่น

ความอ่อนน้อมของคนญี่ปุ่นเห็นได้ชัดเจนมาก ทุกเพศทุกวัย ฉันเคยสงสัยเมื่อฉันเห็นคนญี่ปุ่นกล่าวขอบคุณกันและกัน หรือ กล่าวลากันและกัน พวกเขาช่างใช้เวลานานเหลือเกินกับกิจกรรมนั้น ต่างคนต่างกล่าวขอบคุณพร้อมโค้งตัวอย่างอ่อนน้อม และเมื่ออีกคนรับคำขอบคุณแล้วก็จะกล่าวขอบคุณกลับพร้อมโค้งตัวอย่างอ่อนน้อมเช่นกันไม่ว่าเด็กปฎิบัติกับผู้สูงวัยกว่า หรือ ผู้สูงวัยปฎิบัติต่อเด็ก หรือแม้แต่วัยเดียวกันก็ตาม






ฉันอยู่ญี่ปุ่นไม่นานแต่ฉันก็ซึมซับเอาสิ่งดีๆของคนญี่ปุ่นที่ฉันเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในที่ทำงานไม่ว่าจะเจอคนที่เรารู้จักหรือไม่ก็ตาม จะมีการกล่าวทักทาย หรือ โค้งตัวเพื่อแสดงการทักทายเสมอ ฉันไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนจะจำกันได้ไหมว่าวันหนึ่งๆ กล่าวทักทายกันกี่ครั้ง ต้องดูด้วยว่า เช้า กลางวัน หรือ ตอนเย็น ฉันเคยพูดผิดพูดถูก แต่ทุกคนก็รู้ว่าฉันเป็นต่างชาติ ก็เลยกลายเป็นเรื่องขำขันไป แต่ในทางกลับกันหากพบกันนอกที่ทำงานเขาเหล่านั้นอาจจะจำกันไม่ได้เลย เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก มักจะใช้วันหยุดอยู่กับครอบครัว หรือ ทำธุระส่วนตัว และไม่บ่อยนักที่เขาจะชวนใครไปที่บ้าน หากเขาชวนไปที่บ้านแล้ว นั่นหมายถึงมีโอกาสพิเศษมากๆ หรือ ให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษ





ฉันเคยได้รับเชิญให้ไปค้างบ้านเพื่อนที่โยโกฮ่าม่า ฉันได้ทราบสองสามวันก่อนวันนั้นว่า คุณแม่ของเพื่อนที่เชิญฉันไปนั้นได้เตรียมการทุกอย่าง เป็นต้นว่าอาหารการกิน ที่หลับที่นอน และการเดินทางให้ฉันด้วย แต่น่าเสียดายที่ฉันเกิดไม่สบายกระทันหันก่อนวันที่จะต้องไป ฉันจึงเสียโอกาสดีๆ ที่จะได้เรียนรู้คนญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดในโอกาสนั้นไป





การทักทายกันตามถนนหนทางซึ่งเราอาจจะเห็นกันได้ทั่วไปสำหรับสังคมอเมริกัน ยุโรป หรือ เราเรียกว่าฝรั่ง แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วแตกต่างกันมาก คนญี่ปุ่นไม่ชินกับการกล่าวทักทายกันระหว่างคนแปลกหน้า หากเราไปทักเขาอาจจะทำให้เขาตกใจได้ ซึ่งต่างจากฝรั่งมาก ดังนั้นจึงมีคำกล่างที่ว่าคนญี่ปุ่นใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ หรือมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ซึ่งเจ้านายฉันเคยเล่าให้ฟังอย่างนั้นเช่นกัน ฉันจึงระวังอย่างมากในการกล่าวทักทายใครนอกที่ทำงาน แต่มันไม่บ่อยนักที่ฉันจะพบเหตุการณ์นั้นๆ



หากมีความจำเป็นที่ใครจะมาที่บ้านหรือที่อันเป็นส่วนตัวของเรา สิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งคือ การนัดหมายก่อน หรืออาจจะจำเป็นต้องโทรศัพท์มาแจ้งก่อนล่วงหน้า เพื่อถามว่าเจ้าบ้านสะดวกหรือไม่ในเวลานั้นๆ ซึ่งเท่าที่ฉันเห็นยังไม่มีบู่มบ่ามมากดกริ่งเรียกโดยที่ไม่นัดล่วงหน้าก่อนเลย

ในญี่ปุ่นมีอาชีพหนึ่งที่เมืองไทยอาจจะไม่มีอาชีพนี้ชัดเจน นั่นคือ อาชีพคนโบกรถ

ในญี่ปุ่นมีอาชีพหนึ่งที่เมืองไทยอาจจะไม่มีอาชีพนี้ชัดเจน นั่นคือ อาชีพคนโบกรถ แรกที่ฉันมาอยู่ญี่ปุ่น ฉันเดินทางไปทำงานโดยรถจักรยาน ปั่นไปตามทางเดินเท้า ซึ่งก็สะดวกและปลอดภัยพอสมควร จะมีปัญหาบ้างเมื่อต้องข้ามถนนต้องรอสัญญาณไฟ และดูรถอย่างรอบคอบเช่นกัน และหลายครั้งที่ฉันปั่นรถจักรยานผ่านพื้นที่ที่มีการขุดเจาะ (ซึ่งพบน้อยมาก) หรือ เขตที่มีการก่อนสร้าง ที่มีรถเข้าออกบ่อยครั้ง หรือ ตามที่จอดรถของสถานที่ต่างๆ






ฉันมักจะเห็นคนที่คอยให้บริการโบกรถเสมอ เขาจะมีดาบไฟฉายสีแดง คอยโบกบริการรถเข้าออก และคนสัญจรไปมาอย่างไม่ผิดพลาด ไม่ว่าภาวะอากาศจะเป็นเช่นไร คนโบกรถจะปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ หรือ อู้งานเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตรงนั้นอาจจะไม่มีใครผ่านเลย เขาก็จะยังยืนนิ่งเพื่อคอยบริการตลอดเวลา บางทีคนเหล่านี้เป็นคุณลุงอายุมากกว่าหกสิบปี แต่ยังทำงานอย่างรับผิดชอบและขมักเขม้น ไม่มีความท้อแท้เหนื่อยหน่ายให้เห็นเลยสักครั้ง

การให้ความสำคัญกับคน และความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นใดเลยในญี่ปุ่น ถ้าใครเคยขึ้นรถสาธารณะไม่ว่ารถไฟ รถบัส หรือรถเมล์ในบ้านเรา คงจำได้ว่าท่านจะต้องวิ่งตามรถเมล์ที่จะจอดตามป้าย บางทีขาของผู้โดยสารยังขึ้นรถไม่ครบสองข้าง แต่รถได้ออกตัวไปแล้ว ผู้โดยสารก็ต้องใช้วิชามือกาวเกาะให้แน่นเพื่อรักษาชีวิตของท่านไว้ บางทีอาจจะขึ้นรถได้เรียบร้อยแต่มือยังไม่ได้ยึดเหนี่ยวสิ่งใดเลย อาจจะเคยหกล้มบนรถเมล์มาแล้วก็ได้





แต่ในญี่ปุ่นเราจะไม่เจอกับเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นแน่ เนื่องจากรถทุกคันเข้าป้ายอย่างแม่นยำ และค่อนข้างตรงเวลา เมื่อผู้โดยสารขึ้นไปบนรถแล้ว หาที่นั่ง หรือ ที่เกาะได้เรียบร้อย ผู้โดยสารคนอื่นๆ ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว คนขับรถจะพูดผ่านไมโครโฟน (คนขับรถทุกคนจะต้องติดไมโครโฟนไว้) ว่าให้ระวังด้วย รถจะออกตัวแล้ว ตราบใดที่คนบนรถยังนั่งไม่เรียบร้อย หรือ หาที่เกาะยังไม่เรียบร้อย คนขับรถจะยังไม่ออกรถไป และหากผู้โดยสารต้องการลงป้ายใด จะไม่หลงเนื่องจากจะมีเสียงบอกตลอดทางว่าป้ายต่อไปจะเป็นที่ไหน ให้ผู้โดยสารกดบอกด้วยหากมีความประสงค์จะลง ผู้โดยสารเพียงแต่กดและนั่งอยู่กับที่ ไม่มีความจำเป็นต้องลุงจากเก้าอี้ไปรอที่ประตูรถ



ซึ่งหากผู้โดยสารทำเช่นนั้นคนขับรถจะบอกให้กลับไปนั่งที่เนื่องจากไม่ปลอดภัย เมื่อถึงป้ายแล้ว รถจะจอดให้ผู้โดยสารลง รถจะรอจนผู้โดยสารลงเสร็จเรียบร้อยทุกคนอย่างไม่เรียบร้อน จากนั้นจึงปิดประตูและบอกอีกครั้งว่าให้ระวังเพราะ รถกำลังจะออกตัวแล้ว เป็นแบบนี้ตลอดทาง

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเตาเผาขยะมากที่สุดในโลก

ความซื่อสัตย์ ความใส่ใจและความรับผิดชอบของแต่ละคนนั้นแสดงออกต่อส่วนรวมในเรื่องความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในเรื่องที่อาจจะมีกฎหมาย หรือระเบียบบังคับไว้ หรือ มีขนบธรรมเนียมประเพณีบังคับไว้ก็ตาม ในเรื่องการกำจัดขยะ

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเตาเผาขยะมากที่สุดในโลก เนื่องจากไม่มีพื้นที่มากพอที่จะทำการกำจัดแบบฝังกลบ ขยะหลายประเภทไม่สามารถกำจัดได้ทัน อาจจะถูกส่งขายเป็นของเก่า เช่น จักรยาน รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ จะถูกส่งขายเป็นเศษซากไปประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย จะเรียกได้ว่าขยะล้นประเทศก็ว่าได้ ในชีวิตประจำวันฉันเห็นคนญี่ปุ่นแยกขยะก่อนทิ้งทุกบ้าน ทุกสำนักงาน แยกเป็นขยะเผาได้ ขยะกลับมาใช้ใหม่ได้ กล่องนม ขวดแก้ว ขวดพลาสติกฯลฯ ถูกแยกออกประเภทชัดเจน มัดปากถุงเรียบร้อย ทิ้งตามถังที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ หากเป็นนิตยาสาร หนังสือที่ต้องการทิ้ง ก็จำเป็นต้องมัดและห่อให้เรียบร้อย และวางไว้หน้าบ้านตามวันที่กำหนดที่รถขยะจะมาเก็บ ส่วนขยะชิ้นใหญ่ หรือ ขยะประเภทที่ไม่สามารถทิ้งได้ คนญี่ปุ่นจำเป็นต้องเรียกใช้บริการกำจัดขยะพิเศษ ขยะเหล่านี้เป็นขยะชิ้นใหญ่ หรือของที่ไม่ใช้แล้วต้องการทิ้ง ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ ตู้ เตียง ที่นอน กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ หม้อหุงข้าว หรือ อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ชำรุดแล้ว ฯลฯ




การเรียกใช้บริการนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ฉันเห็นคนญี่ปุ่นก็ปฎิบัติเป็นนิสัย ไม่ทิ้งขวางตามที่ว่างเปล่าหรือ ข้างทางอย่างที่ฉันเคยเห็นในประเทศเรา และอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันทึ่งคนญี่ปุ่นคือ เขายอมเสียเงินซื้อถุงรองรับเศษผง เศษขยะเล็กๆน้อยๆ เช่น เศษชา เพื่อไม่ทิ้งสิ่งเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ผิดที่ผิดทาง รวมถึงซื้ออุปกรณ์กำจัดน้ำมัน ฉันไม่แน่ใจว่าต้องเรียกชื่อเช่นไร แต่เป็นผงที่ใช้เทลงน้ำมันที่เราประกอบอาหารแล้วต้องการทิ้ง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อนก่อนน้ำไปทิ้ง ซึ่งมีขายตามร้านทั่วๆไป การกำจัดไขมันด้วยวิธีทำให้จับตัวเป็นก้อนก่อนนำไปทิ้งนี้เพื่อลดภาระของระบบกำจัดน้ำเสียในการกำจัดไขมันนั่นเอง



แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะให้ความร่วมมืออย่างดีและมีความรับผิดชอบในการแยกขยะ แต่ขยะยังเป็นปัญหาในบางท้องที่ เช่นตามเมืองใหญ่ๆ หรือแหล่งการค้าที่มีถุงขยะกองไว้ข้างทางรอการเก็บ มักจะเห็นกาจำนวนมากมาคุ้ยเขี่ยถุงขยะเป็นประจำ ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ฉันเห็นภาพข่าวตามโทรทัศน์บ่อยครั้ง

การบริการของสายการบินญี่ปุ่น

อีกตัวอย่างที่ฉันเคยได้สัมผัสคือการบริการของสายการบินญี่ปุ่น ฉันเคยได้รับบริการในการเดินทางทั้งในประเทศญี่ปุ่นและระหว่างประเทศ ฉันได้รู้ซึ้งถึงคำว่าการบริการด้วยใจจากแอร์โฮสเตสสาวสวยของสายการบินอย่างแท้จริง เธอยิ้มและกริยาอ่อนน้อม ทั้งคำพูดที่กล่าวออกมาก็ไม่ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย




พูดถึงเครื่องบินแล้วก็ให้นึกถึงการบริการรถโดยสารประจำทางและรถไฟด้วย ฉันเดินทางจากโตเกียวกลับบ้านพักโดยบริการรถไฟในตอนดึก ภาพที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นคือ ฉันเห็นพนักงานขับรถไฟขบวนนั้นนั่งคุกเข่าลงกับพื้น เพื่อใช้มือข้างหนึ่งของเขาแตะไปที่ขาผู้สารที่กำลังหลับอยู่อย่างอ้อมน้อม มันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตั้งแต่จำความได้ ฉันคิดว่าหากใครมาญี่ปุ่น หรือได้รับบริการในแบบญี่ปุ่นแท้ๆ แล้วไม่ประทับ คงเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก





การนั่งคุกเข่าลงกับพื้นเป็นเรื่องปกติที่เห็นอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร หากมีความจำเป็นที่จะต้องนั่ง เขาจะนั่งคุกเข่า หรือ ท่าเทพธิดาหากเป็นผู้หญิง ฉันเคยเห็นเพื่อนที่ทำงานของฉันนั่งคุกเข่าข้างๆ ฉันในขณะที่ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ เพื่อที่จะดูปัญหาในคอมพิเตอร์ให้ฉัน ฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ทำไมเขาไม่ยืนข้างๆฉัน หรือ ภาษาไทยเรียกว่ายืนค้ำหัว หลายครั้งฉันเห็นเจ้านายของฉันคุกเข่าลงกับพื้นเพียงเพื่อจะหาหนังสือ นั่งคุกเข่าเพื่อซ่อมอุปกรณ์อะไรสักอย่าง การนั่งลงคุกเข่าไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับคนญี่ปุ่น ไม่มีใครคิดว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงกว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรการนั่งคุกเข่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งมันเป็นกริยาที่สุภาพมาก และถือเป็นการให้เกียรติกันและกันอย่างสูง

หัวใจบริการของคนญี่ปุ่น

เมื่อกล่าวถึงร้านอาหารแล้ว ฉันอยากจะพูดถึงเรื่องหัวใจบริการของคนญี่ปุ่น แรกเมื่อท่านก้าวเข้ามาในร้าน หรือ อาจจะเพียงแต่ยืนหน้าร้าน ท่านจะได้ยินคำเชื้อเชิญว่า อิรัชไชมาเซะ ดังก้องกังวาลจากปากบริกรทั้งร้าน หลังจากนั้นท่านจะถูกพาเดินเข้าไปนั่งตามโต๊ะ โดยบริกรจะถามท่านว่าจะเลือกบริเวณสูบบุหรี่ หรือ ปลอดบุหรี่ (แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีผนังกั้นชัดเจน) เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นนั้นอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ โดยติดเครื่องดูดควันไว้ให้ หลังจากท่านนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วบริกรจะมาพร้อมผ้าร้อน และเมนู หรือบางครั้งที่โต๊ะจะจัดผ้าร้อนไว้ให้แล้ว รวมถึงอุปกรณ์ในการรับประทานไว้พร้อมสรรพ หลังจากให้เมนูท่านแล้ว บริกรจะบอกให้ท่านเลือก และเขาจะให้เวลาท่านเลือกจนพอใจ จนกว่าท่านจะเรียกเขามา หรือ อีกสักพักเขาจะเดินมาถามว่าจะสั่งอะไรบ้าง




ซึ่งการสั่งอาหารญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่มักจะมาเป็นชุด หากท่านสั่งชุดใดชุดหนึ่งแล้ว อยากได้บางส่วนของชุดนั้นเพิ่มเติม เช่น สั่งข้าวแล้วมีซุป และท่านอยากได้ซุปเพิ่ม ท่านจะไม่สามารถสั่งเพิ่มได้ในญี่ปุ่น หากท่านสั่งเพิ่มท่านจะเห็นภาพพนักงานเข้าไปถามในครัวก่อน แล้วกลับมาบอกให้ท่านทราบอีกครั้ง ซึ่งปกติเขามักจะไม่ทำกัน คือ แต่ละชุดประกอบด้วยอะไรบ้าง ท่านก็จะได้รับตามนั้นจนครบ แต่จะเพิ่มมักจะทำไม่ได้นั่นเอง ดังนี้ฉันจึงสรุปเอาเองว่าคนญี่ปุ่นนั้นเป็นคนตรง ทำอะไรตามระเบียบไม่ขาดตกบกพร่องเลย นอกจากนี้บริกรที่ฉันได้เห็นในทุกที่ในญี่ปุ่น มักจะอ่อนน้อม พูดจาสุภาพ ภาษาที่ใช้มักจะเป็นภาษาที่สุภาพมากกว่าที่ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย



หลังจากที่ท่านใช้บริการหรือซื้อของเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้ยินคำกล่าวขอบคุณอย่างดังจากร้าน ไม่ว่าท่านจะซื้อมากซื้อน้อย ราคาถูกหรือแพง คำขอบคุณจะดังก้องกังวาลพร้อมกับการโค้งคำนับขอบคุณจากคนขายทุกครั้ง หรือแม้แต่ท่านเดินเข้าไปเลือกแล้ว ไม่ซื้อไม่รับบริการท่านก็จะได้รับคำขอบคุณอันก้องกังวาลนี้เช่นกัน

ความมีวินัยของคนญี่ปุ่น

ความมีวินัยของคนญี่ปุ่นนั้นไม่เน้นเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น แต่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความมีระเบียบวินัยในสังคมของเขาในทุกๆเรื่อง ภาพที่เห็นเป็นปกติมิได้ขาดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ได้แก่ ภาพการเข้าคิว เข้าแถวรอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รอรถสาธารณะ รถไฟ รอคิวเข้าซื้อของ รอคิวรับประทานอาหาร รอคิวเล่นเกมส์ หรือ แม้แต่รอคิวเข้าห้องน้ำ การรอคิวนั้นบางครั้งก็ได้รับความผิดหวังกลับไปเช่นกัน




เช่นรอคิวรับประทานอาหรในร้านที่ขายดิบขายดี เนื่องจากอาหารอร่อยมาก คนที่รอบางครั้งอาจจะไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่าเมื่อถึงคิวของเขาแล้วของจะหมดแล้วหรือยัง แต่คนญี่ปุ่นก็ยังรอคิวไม่มีใครแซงใครให้หงุดหงิดเลย ฉันยอมรับว่าเป็นคนหนึ่งที่เบื่อการรอคิว แต่ฉันก็ปฎิบัติตามระเบียบทุกครั้ง ยกเว้นร้านอาหารที่ฉันเห็นมีคนมาก ฉันก็จะไม่เข้าไปต่อคิว แต่เปลี่ยนไปร้านอื่นที่มีโอกาสได้รับประทานเร็วกว่า เนื่องจากฉันไม่ทราบนั่นเองว่าร้านไหนจะอร่อยมากๆ ถึงขนาดที่ต้องไปรอคิวหลายๆ ชั่วโมงเพื่อให้ได้อิ่มอร่อยกับอิ่มเดียว

คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก

คนญี่ปุ่นที่ฉันได้พบเจอส่วนใหญ่ดูอ่อนน้อม พูดจาไพเราะ แต่ละวันที่พบกันในตอนเช้า แต่ละคนจะกล่าวทักทาย โอฮ่ะโย่ โกไซมัส ทุกครั้ง ฉันพบว่าไม่มีใครเดินเข้าห้องทำงานมาอย่างเงียบๆ เลยสักครั้ง และคนในห้องก็จะกล่าวตอบ เป็นการทักทายกัน ก่อนกลับบ้านก็จะมีคำลากันเพื่อให้รู้ว่ากลับก่อนนะ คือ ชิทสึเรชิมัส และคนที่ยังไม่กลับก็จะพูดว่า โอ ทสึ คะ เระ สะ มะ เดสชิตะ หมายถึง บอกให้ทราบว่าคนคนนั้นทำงานหนักมาตลอดวันแล้วนะ ฉันได้ยินคำแบบนี้ทุกวันเป็นปกติ รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นห่วงใยและให้กำลังใจกันดี แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่คำพูดของเขาทำให้รู้สึกเช่นนั้น



คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก และเอาจริงเอาจังกับการทำงาน ไม่ผิดเลยที่พวกเราจะเห็นประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเกาะ มีทรัพยากรจำกัด แต่ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร ฉันได้เห็นความรับผิดชอบของคนญี่ปุ่นในหน้าที่แต่ละคนในชีวิตประจำวันที่ทำงาน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเงียบๆ แต่ก็มีบ้างบางคนที่ทำงานไปบ่นไป หรือ แสดงอาการเครียดให้เห็น ในเวลางานแล้วจะไม่ค่อยเห็นมีการเล่น หรือคุยกันในเรื่องอื่นๆ มากนัก แต่ทั้งนี้ในแต่ละวันจะมีช่วงที่ได้พบปะพูดคุยกันในช่วงพักดื่มน้ำชา ตอนประมาณบ่ายสามหรือ บ่ายสี่โมงของแต่ละวัน ในช่วงเวลานี้แม่บ้านจะเป็นคนจัดเตรียมน้ำชาและขนมของว่างให้ และตามทุกคนมานั่งดื่มน้ำชา และนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างนี้อาจจะมีเรื่องงานสอดแทรกบ้าง แต่ไม่หนักหนามากนัก



ส่วนการพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องงานนั้นจะมีการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามผลงาน ติดตามความคืบหน้าของสิ่งที่ได้รับมอบหมายมา เนื่องจากกลุ่มทำงานของฉันเป็นนักวิจัย เราจึงมีการเสนอผลงานเพื่อให้ทุกคนในกลุ่มมีส่วนได้วิจารณ์กันอย่างสม่ำเสมอ ช่วงเวลาการทำงานและช่วงเวลาพักดื่มน้ำชานี้เอง ทำให้ฉันได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในเรื่องการใช้เวลาของคนญี่ปุ่นอย่างมีวินัย บางคนเครียดและเงียบมากระหว่างเวลางาน แต่เมื่อถึงเวลาพักแล้ว เขาพักจริงๆ ไม่ได้เอาเรื่องงานมาคิดต่อ เขาจะคุย หรือเล่นเกมส์ต่างๆ อย่างสนุกสนาน เมื่อหมดเวลาน้ำชาแล้วแต่ละคนก็จะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ต่อไป ฉันจะเห็นเจ้านายของฉันและเพื่อนบางคนอยู่ทำงานต่อตอนเย็นจนดึกดื่น บางคนทำงานจนลืมเวลา หรือต้องนอนค้างที่ที่ทำงานก็เห็นได้บ่อยๆ

ญี่ปุ่นที่ฉันเห็น ตอน ระเบียบวินัย ความตั้งใจ ชาตินิยม ลักษณะนิสัยคนญี่ปุ่น...

ญี่ปุ่นที่ฉันเห็น ตอน ระเบียบวินัย ความตั้งใจ ชาตินิยม ลักษณะนิสัยคนญี่ปุ่น...




ก่อนที่ฉันจะมาญี่ปุ่นฉันได้รับฟังรับทราบความเป็นไปของประเทศญี่ปุ่น ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นหลายด้าน ทั้งด้านบวก และด้านลบ จึงทำให้ฉันอยากมาสัมผัสคนญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวของฉันเอง



ฉันได้สัมผัสการทำงานในบริษัทของญี่ปุ่นครั้งแรกหลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ ทำให้ฉันได้ทราบว่าการทำงานกับคนญี่ปุ่นนั้นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ฉันได้ร่วมงานด้วยเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างไม่เปิดรับความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชานัก และโดยเฉพาะคนที่สื่อสารภาษากลางไม่ได้ ยิ่งทำให้ปัญหาในการทำงานมีมากขึ้น จากการไม่เข้าใจวัฒนธรรม จากการไม่เข้าใจความคิด และคำพูดของกันและกัน ฉันทำงานที่นั่นได้เพียงเดือนเดียว ฉันตัดสินใจลาออกเนื่องจากถูกใช้งานหนักเกินหน้าที่ ทำงานวันละไม่น้อยกว่าสิบสองชั่วโมงโดยได้รับค่าตอบแทน(ค่าล่วงเวลาอันจำกัด เรียกว่าทำงานเกินค่าจ้างอย่างมากค่ะ) และสุขภาพจิตแย่ลงเรื่อยๆ จากสภาพการทำงาน ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่ทำงานที่มีเจ้านายเป็นคนญี่ปุ่นอีกตลอดชีวิตนี้



ต่อมาฉันได้รับฟังจากเพื่อนๆที่ทำงานอยู่บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีบริษัทในเมืองไทย เล่าให้ฟังถึงข้อเสียและลักษณะนิสัยอันไม่พึงประสงค์ของบางคน แต่ขณะเดียวกันฉันก็ได้รับข้อมูลจากเพื่อนว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีวินัยในการทำงานสูงมาก มีความรับผิดชอบสูงมาก และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่แม้ว่าจะเป็นเพียงลูกจ้างของบริษัทเท่านั้น



ด้วยหลายเหตุผลหลังจากฉันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกแล้วทำให้ฉันอยากสัมผัส อยากเรียนรู้ระบบการทำงานและการใช้ชีวิตในการทำงานกับคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นคนแรกที่ฉันได้พูดคุยด้วยในประเทศญี่ปุ่น (ไม่นับรวม จนท สนามบิน และ ตรวจคนเข้าเมืองนะคะ) คือ เจ้านายของฉันเอง เพราะ ท่านไปรับฉันที่สนามบินนาริตะ เจ้านายขับรถของสถาบันวิจัยฯมารับเองในตอนเช้าประมาณ 8.00 นาฬิกา ระหว่างทางเจ้านายอธิบายรายละเอียดสองข้างทางไปตลอดทาง สลับการพูดคุยเรื่องส่วนตัวเรื่องโน้นเรื่องนี้หลายเรื่อง ทำให้ฉันรู้สึกว่าเจ้านายเป็นกันเองกับฉันมาก หลังจากที่ได้ทำงานกับเจ้านายและเพื่อนๆ ในกลุ่มซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด และมีคนจีนหนึ่งคน โชคดีที่คนกลุ่มนี้เกือบทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันจึงไม่ลำบากอะไรกับการสื่อสาร ยกเว้นเจ้าหน้าที่สนับสนุนสองคน หรือ ในเมืองไทยอาจจะเรียกเธอว่าแม่บ้าน ซึ่งสื่อสารได้ภาษาเดียวคือ ภาษาญี่ปุ่น